ตั้งอยู่ที่ หมู่ 1 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย (ตั้งอยู่บนดอยริมฝั่งแม่น้ำสาย) ตามประวัติกล่าวว่า พระองค์เวาหรือเว้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนกเป็นผู้สร้างเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุองค์หนึ่งเมื่อ พ.ศ.364 นับเป็นพระบรมธาตุที่เก่าแก่องค์หนึ่งรองลงจากพระบรมธาตุดอยตุง บนพระธาตุดอยเวาได้จัดตกแต่งให้มีความร่มรื่นเป็นอันมาก มีหอชมทิวทัศน์ซึ่งสามารถชมทิวทัศน์ในตัวเมืองแม่สาย และจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนม่าร์ ได้อย่างชัดเจน มีรูปปูนปั้นแมงป่องช้าง (แมงเวา) ตัวขนาดใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ บริเวณลานกว้างทางด้านเหนือขององค์พระเจดีย์ มีอนุสาวรีย์ของ พระนเรศวรมหาราช พระสุพรรณกัลยา และพระเอกาทศรสประดิษฐานอยู่เคียงข้างกัน โดยอนุสาวรีย์ทั้ง 3 พระองค์สร้างขึ้นตามความตั้งใจของหลวงปู่โง่น โสรโย แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก จ.พิจิตร รวมทั้งมีปราสาทไพชยนต์ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อประกาศถึงคุณงามความดี และเพื่อสักการะพระอินทร์ (องค์อัมรินทราธิราช) ซึ่งร่วมสร้างกันหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐ และเอกชน คหบดีของอำเภอแม่สาย ฯลฯ
วัดถ้ำผาจม
ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย อยู่ห่างจากอำเภอแม่สายไปทางทิศเหนือประมาณ 1.5 กิโลเมตร ถ้ำผาจมตั้งอยู่บนดอยอีกลูกหนึ่งทางทิศตะวันตกของดอยเวา ติดกับแม่น้ำสาย เคยเป็นสถานที่พระภิกษุสงฆ์นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ปัจจุบันมีรูปปั้นของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ประดิษฐานไว้บนดอยด้วย ภายในถ้ำผาจมมีหินงอกหินย้ยอยู่ตามผนังและเพดานถ้ำ สวยงามวิจิตรการตา
วัดถ้ำผาจม ต.เวียงพาคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นวัดที่เรียกได้ว่า อยู่เหนือสุดของประเทศ ที่ตั้งวัดอยู่ใกล้ท่าขี้เหล็ก และมีอาณาเขตอยู่ติดกับประเทศพม่า โดยวัดตั้งบนภูเขาที่เรียกกันว่าเทือกเขานางนอน เดิมเป็นที่พำนักสงฆ์ หรือสำนักสงฆ์ ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่ถาวร โบสถ์ ศาลา ไม่มีกุฏิที่พระจะจำวัดได้ มีแต่ไม้ไผ่ผ่าซีก ทำเป็นตัวเรือน หลังคามุงแฝกหรือจาก ส่วนเหตุที่ชาวบ้านเรียกว่า "ถ้ำผาจม" ก็เพราะถ้ำแห่งนี้จมลึกลงไปอยู่ใต้แม่น้ำสายเป็นบางส่วน คนทั้งหลายจึงได้เรียกว่า "ถ้ำผาจม"
ภายในบริเวณวัดเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ สถานที่สะอาด บรรยากาศร่มรื่น เป็นสถานที่ที่สงบ เงียบสงัด มีต้นไม้ร่มรื่น สวยงามมาก เป็นสถานที่สัปปายะ เหมาะสำหรับการบำเพ็ญภาวนาหรือการปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างดีเยี่ยม หลวงพ่อวิชัย จึงดำเนินรอยตาม คือ เปิดวัดให้เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน สำหรับประชาชนทั่วไป นอกจากนี้แล้วกระทรวงศึกษาธิการได้เปิดเป็นสำนักเจริญจิตภาวนาเฉลิมพระเกียรติ สำหรับนักเรียน ข้าราชการ รวมทั้งชาวบ้านทั่วไป
หลวงพ่อวิชัย เขมิโย เจ้าอาวาสวัดถ้ำผาจม บอกว่า วิปัสสนากรรมฐานมีประโยชน์ในทางโลก คือ เราก็รู้อยู่ว่า โลกมันร้อน โลกมันวุ่นวาย ถ้าหากเรายึดติดกับทางโลกก็มีแต่ความร้อนความวุ่นวาย ไม่ได้มีความสงบสุขอะไร หลักธรรมของพระพุทธเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน ระงับดับความเร่าร้อนในชีวิตประจำวันของเรา นอกจากนี้แล้วยังช่วยให้เราสามารถเข้าใจความเป็นไปของชีวิตมากขึ้น ว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะเป็นไปตามครรลองครองธรรม เราจะรักษาจิตของเราอย่างไรไม่ให้ขุ่นมัวเศร้าหมอง
ถ้ำปุ่ม ถ้ำปลา ถ้ำเสาหินพญานาค
ตั้งอยู่ที่ดอยจ้อง หมู่11 ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย ห่างจากอำเภอแม่สายไปทางทิศใต้ตามทางหลวงหมายเลข 110 ประมาณ 12 กิโลเมตร มีทางแยกเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ดอยจ้องเป็นภูเขาหินปูนจึงประกอบด้วย ถ้ำหินงอก หินย้อย และทางน้ำไหลมากมาย
ถ้ำปุ่ม นั้นอยู่สูงขึ้นไปยอดเขา ต้องปีนขึ้นไป ภายในถ้ำมืดมาก ต้องมีผู้นำทางเที่ยวชม
ถ้ำปลา เป็นถ้ำหนึ่งที่มีน้ำไหลภายในถ้ำ เคยมีปลาชนิดต่าง ทั้งใหญ่น้อยว่ายออกมาให้เห็นเป็นประจำ ภายในถ้ำยังมีพระพุทธรูปศิลปะพม่า สร้างขึ้นโดยพระภิกษุชาวพม่า เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ประชาชนทั่วไปเรียกว่า “พระทรงเครื่อง” เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนในแถบนี้ br> ถ้ำเสาหินพญานาค อยู่ในบริเวณเดียวกัน เดิมต้องพายเรือข้ามน้ำเข้าไปชม ภายหลังได้สร้างทางเดินเชื่อมกับถ้ำปลา เป็นระยะทาง 150 ม. ภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อย และยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมด้วย
ตลาดดอยเวา
ตลาดดอยเวาเป็นแหล่งซื้อ-ขายของฝากที่นักท่องบเที่วแทบทุกคนต้องได้มาสักครั้งหนึ่ง เพื่อมาเดินซื้อของฝากราคาประหยัดกัน บริเวณนี้แต่เดิมเป็นที่ว่างเปล่า อยู่บริเวณหน้าวัดดอยเวา หรือปากทางขึ้นไปพระธาตุดอยเวานั่นเอง ซึ่งเป็นที่ดินของวัดดอยเวา ต่อมาทางวัดได้ก่อสร้างเป็นอาคารชั้นเดียว เพื่อจัดสรรให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายได้จับจองล๊อกเพื่อขายของฝาก โดยเงินที่ได้จากค่าเช่านั้น ทางวัดได้นำมาบูระณะปฏิสังขรบริเวณรอบ ๆ วัดและพระธาตุดอยเวาให้ดูดี และเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งขึ้น
บรรดาของฝากที่มีขายกันมากมาย ประกอบไปด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้า, ขนมชนิดต่าง, เครื่องคิดเลข, เสี้อผ้ากันหนาว, เสี้อผ้าแฟชั่น, ชุดว่ายน้ำ, ถุงเท้า, รองเท้า, ของเล่นเด็ก, ภาพโปสเตอร์, พรม, ผ้าห่มขนปุย, ฯลฯ โดยสินค้าส่วนใหญ่จะผลิตในประเทศจีน มีบางอย่างที่ผลิตในประเทศพม่าเช่น เครื่องสำอางค์ หรือขนมบางอย่าง สนนราคาก็ไม่แพงเลย อาทิเช่น เครื่องเล่นวีซีดีเครื่องละประมาณ 1,000-1,200 หรือถ้าคุณต่อรองดี แล้ว อาจจะต่ำกว่าพันก็ได้ เครื่องคิดเลขขนาดใหญ่ก็ราคาประมาณ 100 บาท อันเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ประมาณ 30-60 บาท ของเล่นเด็กที่ผลิตในจีนก็ราคาถูก แต่คุณภาพ หรือความคงทนก็ด้อยตามราคาของมัน
ตลาดสายลมจอย
ส่วนแหล่งขายของฝากอีกที่หนึ่งคือบริเวณถนนสายลมจอย (สายลมโชย) ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทะลุมาจากตลาดดอยเวาได้เลย สินค้าที่มีจำหน่ายที่นี่ก็มีคล้าย ๆ กับของตลาดดอยเวา ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ถนนสายลายจอยแห่งนี้จะถูกเนรมิตให้เป็น ถนนข้าวสาร(แม่สาย) มีการปิดถนนคนเดิน ให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านได้เล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างเต็มที่ ซึ่งได้เริ่มเมื่อปี 2547 นี้เป็นปีแรก
ตลาดน้อยไม้ลุงขน
หมู่บ้านไม้ลุงขนเป็นหมู่บ้านเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของอำเภอแม่สาย ที่มาของชื่อไม้ลุงขน มาจากชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง เรียกกันว่า “ต้นไม้ลุง” บริเวณกิ่งก้สนจะมีเถาวัลย์ และกิ่งเล็ก ๆ งอกออกมาลักษณะเหมือนขน ชาวบ้านจึงเรียกว่าไม้ลุงขน และนำมาเป็นชื่อหมู่บ้านดังกล่าว
บริเวณใจกลางหมู่บ้านไม้ลุงขนจะมีตลาดอยู่ ซึ่งคนในพื้นที่จะเรียกเป็นภาษาถิ่นว่า “กาดน้อย” กาดน้อยเป็นตลาดเย็น หมายถึงจะขายของตอนเย็น ตอนเช้าก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าเอาของมาขายเช่นกัน แต่จะเป็นพวกน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ หรือไม่ก็กับข้าวสำเร็จ ส่วนในตอนเย็นเริ่มตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไป จะเป็นของสด เช่นผักสดชนิดต่าง
ตลาดแห่งนี้มีความอยู่อย่างหนึ่งคือ เป็นตลาดที่สามารถขี่มอเตอร์ไซต์เข้าไปจับจ่ายเลือกซื้อหากันได้ และเคยได้ออกรายการทีวีมาแล้วเช่นรายการที่นี่ประเทศไทย รายการสะเก็ดข่าว ลักษณะทั่วไปของตลาดจะเป็นแผงลอยที่ทำขึ้นมาเองจากฝีมือพ่อค้าแม่ขายเอง เวลาฝนตก แดดออกก็ต้องหาร่ม หาผ้าใบมาคลุมกันเอง
แรกเริ่มเดิมทีย้อนหลังไปเกือบ 30 ปีที่แล้ว บริเวณนี้เป็นถนนค่อนข้างกว้างขวาง มีคนเอาผัก เอาผลหมากรากไม้ที่ปลูกไว้หลังบ้านมาวางขายกันไม่กี่เจ้า นานวันเข้าก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้มีร้านค้านับเป็นหลายร้อยร้าน
วนอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน
วนอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอนได้จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2529 ครอบคลุมหัวดอยนางนอน อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดอยนางนอน ท้องที่รับผิดชอบของตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีเนื้อที่ 8 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 5,000 ไร่ มีพื้นที่สำหรับบริการนักท่องท่องอยู่ 2 แห่งคือ
1.บริเวณวนอุทยานถ้ำหลวง มีเนื้อที่ 12 ไร่ ตั้งอยู่ท้องที่บ้านน้ำจำ ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นที่ตั้งสำนักงาน
2.บริเวณขุนน้ำนางนอน มีเนื้อที่ 8 ไร่ ตั้งอยู่ท้องที่บ้านจ้อง ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย
สภาพภูมิประเทศ
1.บริเวณถ้ำหลวง เป็นพื้นที่หุบเขามีภูเขาสูงล้อมรอบ
2.บริเวณขุนน้ำนางนอน เป็นพื้นที่ราบเชิงดอยมีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่น มีน้ำซึมผ่านมาจากรอยแยกของหินเป็นแอ่งน้ำซึ่งใสและเย็นมาก
1.บริเวณถ้ำหลวง เป็นพื้นที่หุบเขามีภูเขาสูงล้อมรอบ
2.บริเวณขุนน้ำนางนอน เป็นพื้นที่ราบเชิงดอยมีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่น มีน้ำซึมผ่านมาจากรอยแยกของหินเป็นแอ่งน้ำซึ่งใสและเย็นมาก

ปากถ้ำอยู่ทิศเหนือของตัวดอย สูงกว่าระดับพื้นดินธรรมดาประมาณ 15 ขั้นบันได เป็นถ้ำที่มหินงอกหินย้อยเป็นจำนวนมากที่สุดถ้ำหนึ่งในเชียงราย การเดินขึ้นไปปากถ้ำสะดวกสบายมาก เพราะไม่สูงและมีปันไดไว้ให้ ปากถ้ำกว้างประมาณ 20 เมตร ลักษณะลาดเอียงลงไปข้างล่าง คือเอียงลงในถ้ำ ภายในไม่ราบเรียบ เต็มไปด้วยหินงอก หินย้อยตะปุ่มตะป่ำ บางแห่งหินย้อยลงมาจากเพดานข้างบนจนจดพื้นข้างล่าง เลยกลายเป็นลักษณะเสาค้ำเพดานไว้ก็มี บางแห่งย้อยลงมามีลักษณะคล้ายผ้าม่านที่มนุษย์ทำขั้น บางแห่งเวลาส่องดูด้วยไฟฟ้าเดินทางจะปรากฏมีแสงระยิบระยับสวยงามมาก บางคนจินตนาการไปต่าง ๆ นานา เช่น เป็นห้องโถงท้องพระโรงบ้าง ห้องนั่งเล่นบ้าง แม้กระทั่งจินตนาการเป็นรูปคน สัตว์ก็มี หลายแห่งมีน้ำหยดลงมาจากผนังถ้ำด้านบน บางแห่งหยดลงมานานจนกลายเป็นแอ่งน้ำเล็ก ๆ สามารถตักดื่มได้ จึงจินตนาการไปกลายเป็นบ่อน้ำทิพย์ บ่อน้ำมนต์ฤาษีบ้าง ว่ากันไปไม่รู้จบ บ้างก็เล่าลือกันไปว่าถ้ำนี้สามารทะลุไปออกถ้ำเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่โน่นทีเดียว ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ภายในถ้ำมีลักษณะเป็นตะปุ่มระป่ำไม่เรียบถ้าเรียบก็สามารถบรรจุคนจำนวนร้อยได้ บางแห่งกว้างราวกับหอประชุมขนาดใหญ่ มีโพรงอากาศที่ทะลุจากเพดานถ้ำด้านบนให้แสงสว่างลงมาถึงก้นถ้ำสามแห่ง เชื่อกันว่าไม่มีใครสามารถเดินเข้าถ้ำนี้จนสุดได้ทุกซอกทุกมุมได้ เพราะว่ามีหลายหลืบ หลายชั้นมากมายเหลือเกิน บางตอนจะต้องเดินลัดน้ำที่ลึกประมาณ 1 ศอกก็มี แต่บางแห่งก็เป็นเพียงมีน้ำซึมเท่านั้น พื้นถ้ำส่วนมากลื่นอาจจะหกล้มได้ง่าย บางแห่งเป็นหุบเหวยอยู่ภายในถ้ำก้มี ทั้งนี้เนื่องจากความใหญ่โตของมันนั่นเอง
เมื่อปี 2534 มีนักทัศนาจรชาวฝรั่งสองคน ได้มาเที่ยวที่ถ้ำหลวงแห่งนี้และพากันเข้าไปในถ้ำ คนภายนอกถ้ำสังเกตุว่าทั้งคู่ไม่ออกมากที จึงแจ้งตำรวจและช่วยกันค้นหา กว่าจะพบและพาออกมาได้ก็เสียเวลาไปสามวันในสภาพที่ดิดโรยเต็มที จากนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนมาตั้งอยู่ที่ปากถ้ำเพื่อให้คำแนะนำช่วยเหลือดังกว่าวมาแล้ว

สภาพภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศของวนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน มี 3 ฤดู คือฤดูฝน ฤดูร้อน และฤดูหนาว สำหรับวนอุทยานถ้ำหลวงมีสภาพอากาศที่เย็นสบายถึงแม้จะเป็นฤดูร้อนเพราะอยู่ในพื้นที่หุบเขา
สภาพภูมิอากาศของวนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน มี 3 ฤดู คือฤดูฝน ฤดูร้อน และฤดูหนาว สำหรับวนอุทยานถ้ำหลวงมีสภาพอากาศที่เย็นสบายถึงแม้จะเป็นฤดูร้อนเพราะอยู่ในพื้นที่หุบเขา
จุดเด่นและแหล่งท่องเที่ยว
วนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน มีพื้นที่สำหรับบริการนักท่องเที่ยว 2 แห่ง มีจุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยว 6 แห่ง คือ
1.ถ้ำหลวง ตามลักษณะของถ้ำ คำว่า “หลวง” เป็นภาษาพื้นเมือง แปลว่าใหญ่ ถ้ำหลวงเป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ เชื่อว่ามีความยากมากที่สุดในประเทศไทย สำรวจได้โดยประมาณ 7 กิโลเมตร ปากถ้ำกว้างขวางมาก ภายในจะพบความงามของเกล็ดหินสะท้อนแสง หินงอก หินย้อย ธารน้ำและถ้ำลอด แต่ละจุดจะมีชื่อเรียกตามลักษณะของบริเวณนั้น
2.ถ้ำพระ เป็นถ้ำขนาดเล็กมีความสงบร่มเย็น ชาวบ้านได้สร้างพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชา
3.ถ้ำเลียงผา เป็นถ้ำที่มีเปลือกหอย อายุหลายล้านปี (กำลังอยู่ในระหว่างการสำรวจข้อมูลที่ชัดเจน) แต่เดิมมีคนกล่าวไว้ว่าเป็นแหล่งน้ำ ซึ่งบริเวณนี้จะมีเลียงผามากินน้ำเป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า “ถ้ำเลียงผา” มีความชุ่นชื้นตลอดเวลา พื้นถ้ำบางแห่งเป็นดินพุ
4.ถ้ำมัลติเทวี เป็นถ้ำขนาดเล็ก มีหินงอกคล้ายรูปพญานาค บางครั้งเรียกว่าถ้ำพญานาค กล่าวกันว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพระอริยสงฆ์รูปหนึ่ง และได้มรณะภาพภายในถ้ำนี้
5.ถ้ำทรายทอง มีความงดงามของหินงอก หินย้อย พื้นถ้ำเดินได้สะดวก และสามารถเดินทะลุไปอีกส่วนหนึ่งของถ้ำได้ (อยู่ที่บริเวณขุนน้ำนางนอน)
6.ขุนน้ำนางนอน เป็นแอ่งเก็บน้ำซึ่งซึมผ่านออกมาจากรอยแยกของหิน มีน้ำตลอดปี และมีปลาหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอยู่มาก และยังมีเส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมขาติ 1 เส้นทาง ซึ่งระยะทางประมาณ 2.6 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินศึกษาธรรมชาติอย่างน้อย 55 นาที หรืออย่างมาก 2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการเลือกจุด ที่จะหยุดตามความสนใจ ซึ่งหากคุณเดินช้า ก็จะได้รับรางวัลมากกว่าการเดินเร็ว
วนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน มีพื้นที่สำหรับบริการนักท่องเที่ยว 2 แห่ง มีจุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยว 6 แห่ง คือ
1.ถ้ำหลวง ตามลักษณะของถ้ำ คำว่า “หลวง” เป็นภาษาพื้นเมือง แปลว่าใหญ่ ถ้ำหลวงเป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ เชื่อว่ามีความยากมากที่สุดในประเทศไทย สำรวจได้โดยประมาณ 7 กิโลเมตร ปากถ้ำกว้างขวางมาก ภายในจะพบความงามของเกล็ดหินสะท้อนแสง หินงอก หินย้อย ธารน้ำและถ้ำลอด แต่ละจุดจะมีชื่อเรียกตามลักษณะของบริเวณนั้น
2.ถ้ำพระ เป็นถ้ำขนาดเล็กมีความสงบร่มเย็น ชาวบ้านได้สร้างพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชา
3.ถ้ำเลียงผา เป็นถ้ำที่มีเปลือกหอย อายุหลายล้านปี (กำลังอยู่ในระหว่างการสำรวจข้อมูลที่ชัดเจน) แต่เดิมมีคนกล่าวไว้ว่าเป็นแหล่งน้ำ ซึ่งบริเวณนี้จะมีเลียงผามากินน้ำเป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า “ถ้ำเลียงผา” มีความชุ่นชื้นตลอดเวลา พื้นถ้ำบางแห่งเป็นดินพุ
4.ถ้ำมัลติเทวี เป็นถ้ำขนาดเล็ก มีหินงอกคล้ายรูปพญานาค บางครั้งเรียกว่าถ้ำพญานาค กล่าวกันว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพระอริยสงฆ์รูปหนึ่ง และได้มรณะภาพภายในถ้ำนี้
5.ถ้ำทรายทอง มีความงดงามของหินงอก หินย้อย พื้นถ้ำเดินได้สะดวก และสามารถเดินทะลุไปอีกส่วนหนึ่งของถ้ำได้ (อยู่ที่บริเวณขุนน้ำนางนอน)
6.ขุนน้ำนางนอน เป็นแอ่งเก็บน้ำซึ่งซึมผ่านออกมาจากรอยแยกของหิน มีน้ำตลอดปี และมีปลาหลากหลายชนิดอาศัยอยู่ มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอยู่มาก และยังมีเส้นทางเดินเท้าศึกษาธรรมขาติ 1 เส้นทาง ซึ่งระยะทางประมาณ 2.6 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินศึกษาธรรมชาติอย่างน้อย 55 นาที หรืออย่างมาก 2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการเลือกจุด ที่จะหยุดตามความสนใจ ซึ่งหากคุณเดินช้า ก็จะได้รับรางวัลมากกว่าการเดินเร็ว

การคมนาคม
เดินทางได้โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 10 จากเชียงราย – แม่สาย ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายตามป้ายชื่อ (ปากทางเข้าอยู่บริเวณตรงข้ามโรงเรียนบ้านน้ำจำ ต.โป่งผา) วนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร
เดินทางได้โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 10 จากเชียงราย – แม่สาย ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายตามป้ายชื่อ (ปากทางเข้าอยู่บริเวณตรงข้ามโรงเรียนบ้านน้ำจำ ต.โป่งผา) วนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอน ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ
สำหรับเส้นทางสำรวจและศึกษาธรรมชาติ ของวนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอนนั้น มีจำนวน 3 เส้นทาง เส้นทางที่ยาวที่สุดมีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง หรือผู้ใหญ่ เส้นทางรองลงมามีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร และเส้นทางที่สามนั้นมีระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร เหมาะสำหรับเยาวชนหรือผู้ที่มีเวลาน้อย
ตลอดระยะเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติทั้ง 3 เส้นทางนี้ มีสิ่งที่น่าสนใจมากคือ สภาพของป่าบริเวณถ้ำหลวง จนถึงขุนน้ำนางนอน มีสภาพเป็นป่าเบญจพรรณผสมดิบแล้ง และบางช่วงเป็นป่าโปร่ง มีไม้ไผ่หลายชนิดขึ้นกระจัดกระจาย ไม้บนสุดที่มีเรือนยอดเด่น มีความหลากหลายทางชีวภาพทั้งของชนิด และพันธุ์ไม้ค่อนข้างสูง อีกทั้งหากเดินอย่างสงบจะพบสัตว์ป่าหลายชนิด เช่นหมูป่า เก้ง แมวป่า อีเห็น กระรอก กระแต หนูหรึ่ง ส่วนจำพวกนก ได้แก่เหยี่ยว นกนางถ้ำ นกปรอทหัวขวาน นกกระปูด
ระหว่างทางจะพบโขดหินปูนซึ่งถูกน้ำกัดเซาะสวยงาม และข้างทางจะพบเห็ด เถาวัลย์ นอกจากนั้นช่วงทางเดินแต่ละเส้นทางระหว่างถ้ำหลวงถึงขุนน้ำนางนอน จะพบการแบ่งเขตของป่า จากป่าเบญจพรรณสู่ป่าดิบแล้งอย่างชัดเจน และป่าซึ่งฟื้นคืนสภาพจากการถูกทำลายและทั้ง 3 เส้นทางจะมีทางลงที่ขุนน้ำนางนอน
สำหรับเส้นทางสำรวจและศึกษาธรรมชาติ ของวนอุทยานถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอนนั้น มีจำนวน 3 เส้นทาง เส้นทางที่ยาวที่สุดมีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง หรือผู้ใหญ่ เส้นทางรองลงมามีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร และเส้นทางที่สามนั้นมีระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร เหมาะสำหรับเยาวชนหรือผู้ที่มีเวลาน้อย
ตลอดระยะเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติทั้ง 3 เส้นทางนี้ มีสิ่งที่น่าสนใจมากคือ สภาพของป่าบริเวณถ้ำหลวง จนถึงขุนน้ำนางนอน มีสภาพเป็นป่าเบญจพรรณผสมดิบแล้ง และบางช่วงเป็นป่าโปร่ง มีไม้ไผ่หลายชนิดขึ้นกระจัดกระจาย ไม้บนสุดที่มีเรือนยอดเด่น มีความหลากหลายทางชีวภาพทั้งของชนิด และพันธุ์ไม้ค่อนข้างสูง อีกทั้งหากเดินอย่างสงบจะพบสัตว์ป่าหลายชนิด เช่นหมูป่า เก้ง แมวป่า อีเห็น กระรอก กระแต หนูหรึ่ง ส่วนจำพวกนก ได้แก่เหยี่ยว นกนางถ้ำ นกปรอทหัวขวาน นกกระปูด
ระหว่างทางจะพบโขดหินปูนซึ่งถูกน้ำกัดเซาะสวยงาม และข้างทางจะพบเห็ด เถาวัลย์ นอกจากนั้นช่วงทางเดินแต่ละเส้นทางระหว่างถ้ำหลวงถึงขุนน้ำนางนอน จะพบการแบ่งเขตของป่า จากป่าเบญจพรรณสู่ป่าดิบแล้งอย่างชัดเจน และป่าซึ่งฟื้นคืนสภาพจากการถูกทำลายและทั้ง 3 เส้นทางจะมีทางลงที่ขุนน้ำนางนอน
สิ่งที่คุณสามารถพบได้ระหว่างการเดินศึกษาธรรมชาติ
1.ไลเคน เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณ คืบคลานมาจากท้องทะเล เมื่อประมาณ 400 ล้านปีมาแล้ว โดยขึ้นมาอยู่บนก้อนหิน นับเป็นปรากฏการณ์ของวิวัฒนาการบนโลกเรา แต่ก่อนนั้นผิวโลกของเราเป็นสีน้ำตาล ไม่มีสิ่งมีชิวิตแต่ด้วยสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จัดได้ว่าเป็นการปฏิวัติเขียว ซึ่งทำให้พื้นผิวโลกมีการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงไป ไลเคนเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างดิน ทำให้พืชขนาดเล็กเกิดขึ้นได้ ซึ่งนำไปสู่การสร้างผืนป่าขนาดใหญ่ ถ้าไลเคนไม่เกิดขึ้นในขั้นแรกก็จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นตามมาได้ รวมทั้งตัวเราด้วย
2.พรมแดนป่า รอยต่อของป่าตรงบริเวณนี้เป็นบริเวณถิ่นที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษ เพราะมีป่าถึงสามชนิดอยู่ใกล้ชิดติดกัน ได้แก่ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าดงดิบ มีความหลากหลายทางพันธุ์ไม้มาก จัดเป็นแหล่งผลิตอาหารขนาดใหญ่ในพื้นที่เล็ก ๆ ทำให้สัตว์ป่าขนาดเล็กและใหญ่ รวมทั้งนกสามารถเคลื่อนย้ายหากินได้ง่าย และรวดเร็ว ในระหว่างป่าแต่ละชนิดความมหัศจรรย์ที่ทำให้พันธุ์ไม้มารวมอยู่ได้ในบริเวณนี้ก็เนื่องมาจากความลดหลั่นในปริมาณและคุณภาพของดิน อากาศ อุณหภูมิ ปริมาณน้ำ และความลาดเอียงของพื้นที่
3.ต้นไผ่ เป็นหญ้าที่สูงที่สุดในโลก มีวิวัฒนาการด้านการสืบพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในฤดูฝนจะแตกหน่อ งอกออกมาเหมือนกับต้นแม่ภายในเวลา 3 เดือน แล้วหน่อไผ่เหล่านี้ก็เจริญเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ จนเมื่อวันหนึ่งบรรยากาศบริเวณนั้นขาดแคลนความชื้นในอากาศและความชื้นในดิน มันก็จะพากันออกดอกออกผลได้เป็นพัน ๆ เพื่อแพร่กระจายไปได้เป็นบริเวณกว้างขวาง ซึ่งเป็นการใช้พลังงานไปอย่างมากมาย แล้วต้นแม่ก็จะตาย ซึ่งเรียกว่าไผ่ตายขุย ในอุทยานนี้มีไผ่อยู่มากกว่า 8 ชนิด ที่ใช้เทคนิคการสืบพันธุ์โดยวิธีดังกว่าว
4.กล้วยไม้ เงยหน้าขึ้น จะพบกล้วยไม้ (ต้นไม้กลุ่มที่ถูกจัดเป็นพืชมีดอกสวยที่สุดในโลก) ถูกจัดเป็นพืช เกาะอาศัย กล้วยไม้มีรากอากาศเพื่อเก็บน้ำและมีขี้ผึ้งเคลือบใบเพื่อป้องกันความร้อนและกระแสลมมาพัดเอาไอน้ำไปจากใบ รากสามารถดึงดูดน้ำจากอากาศ และฝน กล้วยไม้กินแร่ธาตุจากน้ำฝนที่ไหลผ่านเปลือกไม้ กล้วยไม้มักมีรูปร่างของใบคล้าย ๆ ถ้วยเพื่อเก็บน้ำฝนให้ได้มากขึ้น
5.พูพอน มองขึ้นไปคุณจะเห็นว่าต้นไม้ในป่าดงดิบสูงมากเพียงใด บางต้นสูงถึง 40 เมตร คุณว่ามันรักษาความสู่งเด่นของมันอย่างไร รากของมันไม่ลึกมากพอ ต้นไม้ไม่มีรากแผ่ด้านข้างมากนัก เพราะรากไม้จะไปประสานชนกับรากต้นไม้อื่นจึงทำให้มันไม่สามารแผ่ไปได้ไกล ต้นไม้ในป่าดงดิบจึงสร้างขาพิเศษสำหรับเอาไว้ค้ำยันเพื่อเผชิญกับพายุแรง ขาพิเศษนี้เรียกว่า “พูพอน”
6.เถาวัลย์ พื้นป่าดงดิบมืดทับ เพราะได้รับแสงน้อย ที่นี่คุณจะพบเถาวัลย์มากมาย เถาวัลย์ต้องการแสงแดดเช่นเดียวกับต้นไม้ใหญ่ มันจึงใช้วิธีลัดด้วยการเติบโตทางด้านยาวมากกว่าด้านกว้าง ทำให้ไม่แข็งแรง แต่ก็ขึ้นไปรับแสงได้ ด้วยการอาศัยต้นไม้อื่น มันแตกรากออกด้านข้างเพื่อเกาะยึด ให้หนามขอเกี่ยว เถาวัลย์ไม่ทำร้ายต้นไม้ที่มันอาศัย ยังช่วยสานเรือนยอดต้นไม้ให้เป็นกำแพงเพื่อต้านพายุได้
7.ปลวก ถ้าในป่าไม่มีปลวกจะเกิดอะไรขึ้น??? ปลวกเป็นสัตว์ที่มีคุณค่าอยางยิ่ง เพระต้นไม้กิ่งไม้ที่หักลงจะถูกย่อยสบายเปลี่ยนเป็นธาตุที่มีโครงสร้างซับซ้อนให้กลับมาเป็นอาหารที่พืชชนิดอื่นนำไปใช้ได้ทันที ปลวกไม่มีน้ำย่อยในตัวของมัน แต่อาศัยโปรตัวซัวในลำไส้ที่สามารถย่อยเนื้อไม้ มันนำไม้ปให้เห็ดราภายรังเป็นอาหาร ปลวกก็จะพากันกินเห็ดที่งอกขั้นมาเหมือนกับสวนครัวที่คุณปลูกไว้ที่บ้าน ในป่าทั่ว ๆ ไป จึงจำเป็นต้องมีปลวกทำหน้าที่หมุนเวียนแร่ธาตุอาหารให้กับนิเวศวิทยาของป่า
1.ไลเคน เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณ คืบคลานมาจากท้องทะเล เมื่อประมาณ 400 ล้านปีมาแล้ว โดยขึ้นมาอยู่บนก้อนหิน นับเป็นปรากฏการณ์ของวิวัฒนาการบนโลกเรา แต่ก่อนนั้นผิวโลกของเราเป็นสีน้ำตาล ไม่มีสิ่งมีชิวิตแต่ด้วยสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จัดได้ว่าเป็นการปฏิวัติเขียว ซึ่งทำให้พื้นผิวโลกมีการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงไป ไลเคนเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างดิน ทำให้พืชขนาดเล็กเกิดขึ้นได้ ซึ่งนำไปสู่การสร้างผืนป่าขนาดใหญ่ ถ้าไลเคนไม่เกิดขึ้นในขั้นแรกก็จะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นตามมาได้ รวมทั้งตัวเราด้วย
2.พรมแดนป่า รอยต่อของป่าตรงบริเวณนี้เป็นบริเวณถิ่นที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษ เพราะมีป่าถึงสามชนิดอยู่ใกล้ชิดติดกัน ได้แก่ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าดงดิบ มีความหลากหลายทางพันธุ์ไม้มาก จัดเป็นแหล่งผลิตอาหารขนาดใหญ่ในพื้นที่เล็ก ๆ ทำให้สัตว์ป่าขนาดเล็กและใหญ่ รวมทั้งนกสามารถเคลื่อนย้ายหากินได้ง่าย และรวดเร็ว ในระหว่างป่าแต่ละชนิดความมหัศจรรย์ที่ทำให้พันธุ์ไม้มารวมอยู่ได้ในบริเวณนี้ก็เนื่องมาจากความลดหลั่นในปริมาณและคุณภาพของดิน อากาศ อุณหภูมิ ปริมาณน้ำ และความลาดเอียงของพื้นที่
3.ต้นไผ่ เป็นหญ้าที่สูงที่สุดในโลก มีวิวัฒนาการด้านการสืบพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในฤดูฝนจะแตกหน่อ งอกออกมาเหมือนกับต้นแม่ภายในเวลา 3 เดือน แล้วหน่อไผ่เหล่านี้ก็เจริญเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ จนเมื่อวันหนึ่งบรรยากาศบริเวณนั้นขาดแคลนความชื้นในอากาศและความชื้นในดิน มันก็จะพากันออกดอกออกผลได้เป็นพัน ๆ เพื่อแพร่กระจายไปได้เป็นบริเวณกว้างขวาง ซึ่งเป็นการใช้พลังงานไปอย่างมากมาย แล้วต้นแม่ก็จะตาย ซึ่งเรียกว่าไผ่ตายขุย ในอุทยานนี้มีไผ่อยู่มากกว่า 8 ชนิด ที่ใช้เทคนิคการสืบพันธุ์โดยวิธีดังกว่าว
4.กล้วยไม้ เงยหน้าขึ้น จะพบกล้วยไม้ (ต้นไม้กลุ่มที่ถูกจัดเป็นพืชมีดอกสวยที่สุดในโลก) ถูกจัดเป็นพืช เกาะอาศัย กล้วยไม้มีรากอากาศเพื่อเก็บน้ำและมีขี้ผึ้งเคลือบใบเพื่อป้องกันความร้อนและกระแสลมมาพัดเอาไอน้ำไปจากใบ รากสามารถดึงดูดน้ำจากอากาศ และฝน กล้วยไม้กินแร่ธาตุจากน้ำฝนที่ไหลผ่านเปลือกไม้ กล้วยไม้มักมีรูปร่างของใบคล้าย ๆ ถ้วยเพื่อเก็บน้ำฝนให้ได้มากขึ้น
5.พูพอน มองขึ้นไปคุณจะเห็นว่าต้นไม้ในป่าดงดิบสูงมากเพียงใด บางต้นสูงถึง 40 เมตร คุณว่ามันรักษาความสู่งเด่นของมันอย่างไร รากของมันไม่ลึกมากพอ ต้นไม้ไม่มีรากแผ่ด้านข้างมากนัก เพราะรากไม้จะไปประสานชนกับรากต้นไม้อื่นจึงทำให้มันไม่สามารแผ่ไปได้ไกล ต้นไม้ในป่าดงดิบจึงสร้างขาพิเศษสำหรับเอาไว้ค้ำยันเพื่อเผชิญกับพายุแรง ขาพิเศษนี้เรียกว่า “พูพอน”
6.เถาวัลย์ พื้นป่าดงดิบมืดทับ เพราะได้รับแสงน้อย ที่นี่คุณจะพบเถาวัลย์มากมาย เถาวัลย์ต้องการแสงแดดเช่นเดียวกับต้นไม้ใหญ่ มันจึงใช้วิธีลัดด้วยการเติบโตทางด้านยาวมากกว่าด้านกว้าง ทำให้ไม่แข็งแรง แต่ก็ขึ้นไปรับแสงได้ ด้วยการอาศัยต้นไม้อื่น มันแตกรากออกด้านข้างเพื่อเกาะยึด ให้หนามขอเกี่ยว เถาวัลย์ไม่ทำร้ายต้นไม้ที่มันอาศัย ยังช่วยสานเรือนยอดต้นไม้ให้เป็นกำแพงเพื่อต้านพายุได้
7.ปลวก ถ้าในป่าไม่มีปลวกจะเกิดอะไรขึ้น??? ปลวกเป็นสัตว์ที่มีคุณค่าอยางยิ่ง เพระต้นไม้กิ่งไม้ที่หักลงจะถูกย่อยสบายเปลี่ยนเป็นธาตุที่มีโครงสร้างซับซ้อนให้กลับมาเป็นอาหารที่พืชชนิดอื่นนำไปใช้ได้ทันที ปลวกไม่มีน้ำย่อยในตัวของมัน แต่อาศัยโปรตัวซัวในลำไส้ที่สามารถย่อยเนื้อไม้ มันนำไม้ปให้เห็ดราภายรังเป็นอาหาร ปลวกก็จะพากันกินเห็ดที่งอกขั้นมาเหมือนกับสวนครัวที่คุณปลูกไว้ที่บ้าน ในป่าทั่ว ๆ ไป จึงจำเป็นต้องมีปลวกทำหน้าที่หมุนเวียนแร่ธาตุอาหารให้กับนิเวศวิทยาของป่า
ขุนน้ำนางนอน
เป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่เป็นหน้าเป็นตาของอำเภอแม่สาย ตั้งอยู่บ้านจ้อง ต.โป่งผา อ.แม่สาย ห่างจากตัวอำเภอแม่สายลงมาทางพหลโยธินประมาณ 7 กิโลเมตร และจากปากทางเข้าไปจนถึงขุนน้ำนางนอนอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร ระหว่างทางจะเป็นหมู่บ้านเรียงรายทั้งสองข้างทาง
เมื่อหลายปีก่อนสามารถขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปข้างในได้เลย แต่ปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่ได้จัดที่จอดรถไว้ให้ รวมทั้งร้านอาหารด้วย เมื่อก่อนที่ยังไม่มี่เจ้าหน้าที่มาดูแล ร้านอาหารจะตั้งอยู่ด้านใน ใกล้ ๆ กับขุนน้ำ (ถ้ำที่มีน้ำใหลออกมา) ทำให้ดูไม่เป็นระเบียบ ดังนั้นทางกรรมการหมุ่บ้าน ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทั่วไปและเจ้าหน้าที่วนอุทยานได้จัดที่สำหรับตั้งร้านขายอาหารได้ มี 2 แห่ง คือทางด้านหน้าทางเข้าทางเดิม และอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางเข้าทางใหม่ ทางด้านหลังของขุนน้ำ
ในช่วงฤดูร้อน ประมาณเดือน มีนาคม-พฤษภาคม จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันมากที่สุด นิยมนำอาหารจากบ้านมาทานกันเอง บางคนก็มาหาซื้อเอาจากร้านค้า ที่มีบริการนับสิบร้าน ภายในบริเวณขุนน้ำนางนอนมีถ้ำอยู่ 1 แห่ง เป็นถ้ำขนาดเล็ก สามารถเดินเข้าไปชมได้ตลอดเวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น