หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วัฒนธรรมของชาวพม่า

วัฒนธรรมของพม่า

อาจกล่าวได้ว่า หากคุณเกิดเป็นลูกชายในครอบครัวชาวไทยใหญ่ ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน พ่อแม่ญาติพี่น้องจะต้องอยากเห็นคุณเข้าร่วมพิธีกรรมที่มีชื่อว่า ปอยส่างลอง สักครั้งในชีวิต เพราะพิธีกรรมนี้คือความภาคภูมิใจของพ่อแม่และชุมชนไทยใหญ่ที่ได้เห็นบุตรหลานของตนเปลี่ยนสถานภาพจากเด็กชายในโลกปุถุชนไปเป็นสามเณรในโลกธรรมะ
ปอยส่างลอง เป็นภาษาไทยใหญ่ คำว่า ปอย หมายถึง งานหรือพิธี ส่วนคำว่า ส่างลอง หมายถึง ผู้ที่จะบรรพชาเป็นสามเณรหรือส่าง รวมแล้วหมายถึง พิธีบรรพชาสามเณร นั่นเอง เชื่อกันว่า หากลูกชายได้ผ่านพิธีกรรมนี้จะได้อานิสงค์ 8 กัลป์ ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าภาพบวชลูกผู้อื่นจะได้อานิสงค์ 4 กัลป์
ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีโรงเรียน การบรรพชาเป็นสามเณรนอกเหนือจากเป็นโอกาสของบุตรชายที่จะได้ทดแทนบุญคุณมารดาแล้ว ยังเป็นโอกาสในการศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้อีกด้วย ตามปกติ ปอยส่างลองมักจะจัดขึ้น เมื่อสิ้นฤดูการเก็บเกี่ยว คือประมาณเดือนมีนาคม- เมษายนของทุกปี แต่ละหมู่บ้านจะมีการประชุมตกลงกันว่าจะจัดในช่วงเวลาไหน โดยจะไม่ให้ตรงกับที่อื่น เพื่อที่จะได้มีโอกาสไปร่วมงานปอยส่างลองในหมู่บ้านอื่น ๆ ได้
โดยปกติ ปอยส่างลอง มักจะจัดกันประมาณ 5 - 7 วัน พ่อแม่หรือผู้ปกครองของส่างลองจะต้องเตรียมข้าวของเงินทองและเครื่องใช้สำหรับจัดงานและเสาะหาผู้ที่จะมาดูแลส่างลองทั้งชายและหญิง หรือที่เรียกกันว่า“แม่เลี้ยงสาว”และ“ป้อเลี้ยงหม่าว” โดยจะต้องมีเป็นคู่ อาจจะมี 2 - 3 คู่ ป้อเลี้ยงหม่าวจะคอยผลัดเปลี่ยนกันแบกส่างลอง ส่วนแม่เลี้ยงสาวจะดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารและการแต่งตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นญาติ ๆ หรือคนที่รู้จักสนิทสนมกัน
ก่อนถึงวันงาน บรรดาผู้ปกครองและญาติ ๆ จะพาส่างลอง ไปโกนผมที่วัด จากนั้น ส่างลองจะต้องนุ่งขาวห่มขาวและรับศีลห้า จากพระสงฆ์ จากนั้นบางแห่งจะมีการเดินขบวนกันไปขอขมาและเดินทางไปยังศาลเจ้าประจำหมู่บ้านเป็นการบอกกล่าวว่าจะมีการจัดปอยส่างลองขึ้น
ขั้นตอนต่อมาจะเป็นการ “รับส่าง” หรือ “ฮับส่าง” ในวันนี้ บรรดาญาติ ๆ ของส่างลองที่เป็นผู้หญิงจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงส่างลอง โดยจะช่วยกันแต่งองค์ทรงเครื่อง แต่งหน้าทาปากให้สวยที่สุด การแต่งกายของส่างลองจะประกอบด้วย 3 ส่วนด้วยกันคือ ส่วนที่เป็นเครื่องประดับศีรษะ เสื้อและกางเกง
ส่วนที่ประดับศีรษะจะวางมวยผมของผู้เป็นบุพการีไว้บนศีรษะและโพกด้วยผ้าที่มีสีสันแล้วคลี่เป็นรูปพัดให้สวยงาม สมัยก่อนประดับประดาไปด้วยดอกไม้สดนานาชนิดแต่ปัจจุบันนิยมใช้ดอกไม้ประดิษฐ์เพราะความคงทนและสามารถนำไปใช้บวชได้อีกหลายงาน ส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อคอกลมแขนยาวปักดิ้นเงินดิ้นทองระยิบระยับเมื่อต้องกับแสงแดดและสวมทับด้วยเครื่องประดับที่เรียกว่า “แคบคอ” และสร้อยมุก กางเกงเป็นแบบโจงกระเบน ปัจจุบัน นิยมตัดเย็บเป็นกางเกงสำเร็จรูป ใส่ถุงเท้าสีขาวคลุมน่องเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
มีหลายตำนานความเชื่อที่พยายามอธิบายถึงที่มาที่ไปของการแต่งองค์ทรงเครื่องส่างลองให้เหมือนกับเจ้าชายตัวน้อย บ้างก็ว่าเป็นการจำลองการผนวชของเจ้าชายสิทธัทถะที่เสวยสุขก่อนจะสละราชสมบัติและออกผนวชในสมัยพุทธกาล อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ในสมัยก่อนมีเด็กชายหน้าตาอัปลักษณ์ ทั้งยากจนและกำพร้าพ่อ ในขณะนั้นบรรดาลูกเศรษฐีในหมู่บ้านของเขาได้รวมตัวกันจัดปอยส่างลองขึ้น เด็กชายอัปลักษณ์อยากเป็นส่างลองแต่แม่ของเขาไม่มีเงิน เขาถูกคนอื่นๆ พูดจาถากถางว่าจนแล้วยังอยากที่จะเป็นส่างลองอีก เมื่อ บุนสาง หรือ พระพรหม ทราบเรื่อง จึงแปลงร่างเป็นชายชรามาให้เงินเพื่อนำไปจัดงาน และเสกให้เด็กชายหน้าตาอัปลักษณ์คนนั้นกลายเป็นเจ้าชายรูปงาม เมื่อแห่ไปรอบ ๆ หมู่บ้าน ชาวบ้านที่พบเห็นต่างกล่าวชื่นชมความงดงามส่างลองผู้นี้ตลอดทาง
บรรดาเจ้าชายตัวน้อยๆ จะได้รับการดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดีเหมือนเป็นเจ้าชายจริง ๆ จะให้เท้าแตะพื้นไม่ได้ ซึ่ง “ตะแป่” จะเป็นผู้ที่แบกส่างลองไว้บนบ่าเมื่อต้องเดินขบวนแห่ หรือไปยังสถานที่ต่าง ๆ โดยจะมีบรรดาพี่เลี้ยงคอยกางร่มทองคำและดูแลเรื่องอาหารการกินและความเรียบร้อยของทรัพย์สินเครื่องประดับไม่ให้ขาดตกบกพร่อง และที่สำคัญอย่าให้ คลาดสายตา เพราะถ้าเผลอ อาจจะมีคนแกล้งอุ้มส่างลองไปซ่อน ซึ่งพี่เลี้ยงต้องหาตัวให้พบ และเมื่อพบแล้ว ผู้ที่ลักส่างลองไปจะไม่ยอมให้ตัวส่างลองไปง่าย ๆ แต่จะเรียกเงินกันเป็นค่าไถ่ตัว พี่เลี้ยงต้องยอมจ่ายเงินตามที่ถูกเรียกอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้
ขั้นตอนต่อไป “ตะแป่” จะแบกส่างลอง เข้าแถวไปเป็นขบวน ซึ่งกระหึ่มไปด้วยเสียง กลองมองเซิง เครื่องดนตรีประจำชาติของไทยใหญ่ บรรเลงร่วมกับฉาบและมอง(หรือฆ้อง-ฆ้องแบบไทยใหญ่จะประกอบด้วย ฆ้องขนาดต่าง ๆ ประมาณ 6 ลูกหรือมากกว่านั้นที่เรียงกันโดยใช้ 2 คนแบกหน้าหลัง คนข้างหลังจะเป็นคนตี โดยคันที่ใช้ตีจะเชื่อมกับไม้ตีทั้ง 6 ทำให้ตีครั้งเดียวจะเกิดเสียงฆ้องสูงต่ำกังวานประสานกัน) ขบวนจะร่ายรำไปตามที่ต่างๆ เพื่อ “กั่นตอ” หรือ “ขอขมา” โดยชาวบ้านจะนำข้าวตอกมาโปรยเมื่อขบวนส่างลองผ่านมาเป็นการอวยพร
จากนั้นจะเป็นการ “แห่โคหลู่” (เครื่องไทยทาน)และส่างลองไปยังวัด ในวันนี้ชาวบ้านมาร่วมงานกันมากซึ่งแต่ละคน ก็จะแต่งกายชุดประจำชาติไทยใหญ่ร่วมขบวนกันอย่างสวยงาม จากนั้นจะประกอบพิธีที่เรียกว่า “ฮ่องขวัญ” หรือ “เรียกขวัญ” คล้ายกับการทำขวัญนาค และเลี้ยงอาหาร 12 ชนิด (ในสมัยก่อนมีถึง 32 ชนิด จากความเชื่อว่าผู้บรรพชาต้องมีอวัยวะครบ 32 ปัจจุบัน เหลือเพียง12 ชนิด ซึ่งบางตำราก็กล่าวว่า หมายถึงข้าวปลาธัญญาหารที่อุดมสมบูรณ์ตลอดปี)
ในวันรุ่งขึ้นจึงจะถึงพิธีบรรพชา ในช่วงเช้าของวันจะเป็นการแห่ส่างลองในชุดประดับประดาเต็มยศไปยังวัด ในช่วงบ่ายจะเป็นพิธีกรรมในอุโบสถ โดยส่างลองจะกล่าวคำขออนุญาตบรรพชาจากพระเถระ เมื่อได้รับอนุญาตจากพระเถระแล้วจึงรับจีวรจากบิดามารดาเพื่อเปลี่ยนจากชุดส่างลองไปห่มผ้าเหลืองถึงตอนนี้อาจจะมีเสียงพระเถระประกาศให้ช่วยกันเช็ดลิปสติก บรัชออน และอายชาโดว์ที่ช่วยกันแต่งแต้มอย่างสวยงามในตอนเช้าออกให้หมดจด เพราะเมื่อรับศีลสิบแล้วจะถือว่าเป็นสามเณรอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าเณรน้อยในผ้าเหลืองยังปากแดง แก้มแดงอยู่ ก็คงจะดูไม่เหมาะนัก เมื่อพิธีกรรมในการบรรพชาเสร็จสิ้นลง ผู้คนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่อาจจะมีการเลี้ยงฉลองความสำเร็จในการจัดเตรียมปอยส่างลองในหมู่ญาติพี่น้องและเจ้าภาพที่จัดงาน

ปัจจุบัน ชุมชนชาวไทยใหญ่ทั้งในรัฐฉาน ประเทศพม่า และชายแดนภาคเหนือของไทยยังคงจัดงานปอยส่างลองอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารูปแบบการจัดงานของแต่ละแห่งจะแตกต่างกันไปตามงบประมาณที่มี แต่สิ่งที่เท่าเทียมกันก็คือ ความภาคภูมิใจ ที่ได้เห็นเด็กชายห่มผ้าเหลืองและบุญกุศุลที่ได้จากการเปลี่ยนสถานภาพบุตรหลานจากโลกปุถุชนเข้าสู่โลกธรรมะ ดังเช่น งานปอยส่างลองที่จัดขึ้นในชุมชนชาวไทยใหญ่ที่หนีภัยการสู้รบมาจากรัฐฉาน ประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2545
เวลาประมาณ 8 โมงเช้า ของวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2545 เด็กชายวัย 8-19 ปีจำนวน 40 คนในชุดสีขาวกำลังยืนเข้าแถวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข แม้วันนี้ พวกเขาจะไม่ได้เป็น “เจ้าชายสิทธัทถะ” ใส่เครื่องประดับสวยงาม ขี่หลัง “ตะแป่” เหมือนกับส่างลองในงานปอยส่างลองที่อื่น แต่พวกเขาก็ยังตื่นเต้นดีใจที่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะได้เปลี่ยนจากเสื้อกางเกงสีขาวเป็นจีวรสีเหลือง สร้างบุญกุศลให้กับพ่อแม่ญาติพี่น้องและคนในชุมชนที่ร่วมกันจัดงานครั้งนี้ขึ้น
จายแสง เด็กชายวัย 10 ขวบ บอกเล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่นี่และความรู้สึกที่ได้เข้าร่วมพิธีกรรมวันนี้ว่า
“ที่หมู่บ้านผมมีการสู้รบบ่อยๆ ผมจึงต้องหนีมาอยู่ที่นี่ และผมดีใจมากที่ได้บวชในวันนี้”
พิธีปอยส่างลองที่นี้มีความแตกต่างจากที่อื่นในหลายเรื่อง อาทิ อายุของเด็กชายที่เข้าร่วมงานซึ่งบางคนล่วงเลยมาถึง 19 ปี รวมทั้งหลายคนเป็นเด็กกำพร้า เพราะนับตั้งแต่ชุมชนแห่งนี้อพยพหนีภัยการสู้รบมาจากฝั่งรัฐฉานเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก เนื่องจากไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลไทยให้เป็นผู้ลี้ภัย พ่อแม่ของเด็ก ๆ ต้องดิ้นรนทำงานหาเงินมาซื้ออาหารประทังชีวิต ด้วยรายได้เฉลี่ยเพียงวันละ 70-80 บาท จากสถานภาพที่ไม่แน่นอนและรายได้ที่จำกัดเช่นนี้ ทำให้กว่าจะได้จัดงานบวชครั้งนี้ เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปจนอายุของเด็กหลายคนมากกว่าเด็กที่เข้าร่วมพิธีทั่วไป และด้วยงบประมาณอันจำกัด การจัดงานในครั้งนี้จึงไม่สามารถเนรมิตให้ “ลูกชาย” เป็น “เจ้าชาย” ได้ดังตั้งใจ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ก็หยิบยืมหรือได้รับการบริจาคจากชุมชนภายนอก ด้วยเหตุนี้ เฉดสีเหลืองของจีวรในงานนี้จึงมีตั้งแต่สีอ่อนซีดไปจนถึงสีเข้ม รวมทั้งขนาดเล็กใหญ่ไม่พอดีกับขนาดตัวของผู้สวมใส่ แต่ถึงกระนั้น ผู้เข้าร่วมงานทุกคนก็ยังมองภาพบุตรหลานในชุดจีวรสีเหลืองด้วยความปลาบปลื้มใจ
พีธีกรรมในวันนี้ จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ในช่วงเช้า “ส่างลอง” จะใส่ชุดสีขาวเข้าแถวเรียงตามลำดับไหล่ยาวต่อกันไป ด้านหลังมีขบวนวงดนตรีแบบไทยใหญ่ครบชุด ตามด้วยครอบครัวและสมาชิกในชุมชน ขบวนค่อยๆ เคลื่อนออกจาก หมู่บ้านไปยังวัดซึ่งสร้างขึ้นด้วยไม้ไผ่ จุคนได้ไม่เกิน 100 คน ทำให้บรรดาแขกเหรื่อส่วนใหญ่ต้องนั่งรออยู่ด้านนอก และเด็กๆ พากันแอบมองลอดฟากไม้ไผ่ดูผู้คนด้านในกันอย่างสนุกสนาน พิธีกรรม ภายในจะมีพระ 4 - 5 รูป สวดมนต์ และญาติช่วยใส่จีวรใหม่ให้ หลังจากประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อเปลี่ยนผ่าน “ส่างลอง” เป็นสามเณรแล้ว พ่อแม่ญาติพี่น้องก็จะนำข้าวของจำเป็นไปถวาย ก่อนที่พิธีจะเสร็จสิ้นลงในช่วงบ่าย
ผู้ปกครองคนหนึ่งเปิดเผยความรู้สึกของตนที่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกชายว่า
“มันเจ็บปวดเล็กน้อยที่เราต้องจัดงานบวชครั้งนี้แตกต่างจากที่เคยทำในรัฐฉาน แต่อย่างน้อยผมก็ยังภูมิใจที่ได้เห็นลูกชายอยู่ในผ้าเหลือง”
ปอยส่างลองที่ชายแดนไทย-พม่าแห่งนี้นับเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่า พิธีกรรมนี้มีความสำคัญสำหรับชีวิตลูกผู้ชายชาวไทยใหญ่ และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ไม่ว่างานจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่หรือเล็กกะทัดรัดเพียงใด รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของผู้คนที่เข้าร่วมงานนั้นมากมายเท่ากัน

การแต่งกายของชาวพม่า

การแต่งกายของชาวพม่า

ชาวพม่าถือว่าวัฒนธรรมเป็นดั่งรากแก้วของต้นไม้ที่ต้องปกปักรักษา วัฒนธรรมที่บ่งบอกความเป็นพม่ามีอาทิ ภาษาพม่า พุทธศาสนา การบริโภคน้ำชา

การแต่งกายของชาวพม่า
ชาวพม่าถือว่าวัฒนธรรมเป็นดั่งรากแก้วของต้นไม้ที่ต้องปกปักรักษา วัฒนธรรมที่บ่งบอกความเป็นพม่ามีอาทิ ภาษาพม่า พุทธศาสนา การบริโภคน้ำชา และที่เห็นได้ชัดอีกสิ่งหนึ่งก็คือการแต่งกาย ในอดีตแม้พม่าจะเคยเป็นอาณานิคมของตะวันตกมากว่าศตวรรษก็ตาม แต่ชาวพม่าก็ยังคงวิถีชีวิตเดิมไว้ได้มาก ผู้ชายยังนิยมนุ่งโสร่ง ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ทั้งยังชอบสวมรองเท้าแตะ และทาแป้งตะนาคา ในบทนี้จะขอกล่าวถึงการแต่งกายของพม่า จำแนกเป็นหญิงและชาย ดังนี้

การแต่งกายสำหรับผู้หญิงพม่า

ตามตำราโลกนิตของพม่ากล่าวไว้ว่า หญิงที่จัดว่างามนั้นต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ๘ ประการ ได้แก่  ๑.มีผิวพรรณดี ๒.มีดวงตาสดใสดั่งตากวาง  ๓.มีเอวคอด  ๔.มีขาเรียว ๕.มีผมดกดำ ๖.มีฟันเป็นระเบียบ ๗.มีสะดือบุ๋ม และ ๘.มีความประพฤติดีงาม ความงามตามโลกนิตดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นความงามโดยกำเนิด มีเพียงประการสุดท้ายที่เป็นความงามอันเกิดจากการบ่มเพาะอุปนิสัย สำหรับการแต่งกายนั้น มิได้กำหนดไว้เป็นส่วนหนึ่งของความงาม อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงพม่าก็มีค่านิยมในเรื่องของความงามที่ดูจะสอดคล้องกับโลกนิต ผู้หญิงพม่าที่ดูงามนั้น จะต้องมีผิวพรรณสดใส ดวงตาคม เอวคอด สะโพกผาย ผมดำดุจปีกแมงพลับ ฟันเป็นระเบียบ และมีอุปนิสัยการแต่งตัวที่ดูสะอาดตา พร้อมกับรู้จักวางท่าทางให้อ่อนโยน และอาจเสริมแต่งเรือนกาย อาทิ ทาแป้งตะนาคาให้ดูนวล สระผมด้วยส้มป่อย เขียนคิ้วและขอบตา ทาปากเข้ม นุ่งผ้ารัดรูป และสวมเสื้อเอวลอย เป็นต้น
ในด้านการแต่งกายนั้น ผู้หญิงพม่าจะนุ่งผ้าซิ่น  สวมเสื้อเอวลอย  มุ่นมวยผม  แซมดอกไม้ และทาแป้งตะนาคา  ในโอกาสสำคัญอย่างงานบุญหรืองานพิธี อาจประดับกายด้วยอัญมณีตามแต่ฐานะ และต้องมีผ้าบางคล้องไหล่  โดยทั่วไป ผู้หญิงพม่าจัดได้ว่าเป็นผู้ที่รักสวยรักงาม ชอบแต่งหน้าทาปาก ทาเล็บมือเล็บเท้า รายได้ที่หามาได้เป็นพิเศษมักหมดไปกับการซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์ ดังมีคำกล่าวว่า "จะจนยากสักเพียงไร ก็ต้องแต่งกายให้ดูงาม"
ผู้หญิงพม่าส่วนมากจึงมักพิถีพิถันกับเรื่องการแต่งกายเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่การดูแลเรือนผม การทัดดอกไม้ การแต่งหน้าทาเล็บ การประดับด้วยอัญมณี กำไลมือ กำไลเท้า สร้อยคอ และตุ้มหู การสวมเสื้อ ซิ่น และผ้าคลุมไหล่ การติดกระดุม ตลอดจนการสวมรองเท้า นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าถือ บุหรี่ขี้โย และร่ม ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับสำหรับผู้หญิงพม่า ซึ่งจะขอกล่าวโดยละเอียดดังนี้

เรือนผม

ความงามตามนัยของโลกนิตนั้น อาจยากที่จะกล่าวได้ว่า ส่วนไหนของกายที่สำคัญต่อความงามมากที่สุด อย่างไรก็ตามชาวพม่าจะมองว่าเรือนผมมีส่วนช่วยให้ผู้หญิงมีความงามได้มากกว่ากายส่วนอื่น เหตุนี้หญิงสาวพม่าจึงต้องหมั่นดูแลเรือนผมของตนเป็นอย่างดี ผู้หญิงพม่าจะมีวิธีมุ่นมวยผมหลายรูปแบบให้ดูเหมาะกับใบหน้าและบุคลิก เพราะหากไว้ทรงผมที่ไม่เหมาะกับตนแล้ว อาจทำให้หมดงาม ดังคำกล่าวว่า “หญิงนั้น แม้งามด้วยกาย ก็อาจหมดรูปได้เพราะมวยผม”  ผู้หญิงพม่าจึงต้องดูแลรักษาเส้นผมเป็นอย่างดีและถือเป็นของสูง ชาวพม่าจะให้ความสำคัญต่อเรือนผมโดยนำไปเปรียบกับพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าที่ต้องหมั่นบูชา  นอกจากนี้ ผู้หญิงพม่าที่ไว้ผมยาว เมื่อถึงคราวที่ต้องตัดผมให้สั้น หรือโกนผมเพื่อบวชชี ก็มักจะเก็บผมของตนไว้ในที่สูง หรืออาจนำไปถวายไว้ที่วัด บางคนเมื่อผมหลุดร่วง จะไม่ปล่อยทิ้งไว้กับพื้น แต่จะห่ออย่างดีแล้วนำไปลอยน้ำ นอกจากนี้ พม่ายังมีธรรมเนียมการโกนผมไฟให้กับเด็กทารก ผู้ใหญ่จะต้องนำผมไฟไปลอยน้ำ ห้ามโยนทิ้ง เพราะเกรงว่าเด็กจะถูกคุณไสย์
นอกจากการมุ่นมวยผมแล้ว หญิงสาวพม่ายังนิยมถักเปีย และดัดผม การไว้ผมเปียและดัดผมนี้ นิยมมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมจนถึงสมัยอิสรภาพ ในปัจจุบันการไว้ผมเปียยังคงนิยมอยู่และดูจะเป็นที่นิยมมากกว่าการดัดผม เปียที่นิยมไว้กันนี้มีทั้งเปียเดี่ยวและเปียคู่ ส่วนการไว้ทรงผมแบบใหม่ๆโดยเลียนแบบความนิยมจากภายนอกก็มี อาทิ ทรงจูเลียต จากหนังเรื่องโรเมโอและจูเลียต และทรงเลดี้ไดอะนา  ทรงจูเลียตได้หมดความนิยมไป เมื่อ ค.ศ.๑๙๘๔ แต่ทรงเลดี้ไดอะนายังนิยมอยู่จนถึงปัจจุบัน ส่วนการย้อมสีผมก็เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นพม่าเช่นกัน อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มจะนิยมย้อมผมมากกว่า

การทัดดอกไม้

เนื่องจากสาวพม่านิยมไว้ผมยาว ทั้งยาวประไหล่ ยาวคลุมก้น และมีบางคนไว้ยาวถึงข้อเท้า ด้วยเหตุนี้ การเกล้าผมมวยจึงเป็นสิ่งจำเป็น และการทัดดอกไม้ก็กลายเป็นธรรมเนียมของผู้หญิงพม่าไปด้วย ดอกไม้ที่นิยมมีหลายชนิด ทั้งที่มีกลิ่นหอม เช่น มะลิ และที่มีสีสันสวยงาม เช่น กุหลาบ  ส่วนดอกไม้ต้องห้ามและไม่นำมาแซมผม คือ ดอกชบา ด้วยถือว่าเป็นดอกไม้สำหรับทัดหูให้กับผู้ตายเท่านั้น

การประดับอัญมณี

ชาวพม่าถือว่าเพชรพลอยนอกจากจะเป็นของมีค่าแล้ว ยังเป็นสิ่งมงคลอย่างหนึ่ง ดังมีคำกล่าวว่า  "ทับทิมเกร็ดน้อย มีค่าควรเมือง"  หญิงสาวพม่าจึงมักจะรักสวยรักงาม บ้างสวมกำไลซ้อนเรียงจนถึงข้อศอก บ้างสวมสร้อยจนเต็มคอ  บ้างสวมแหวนเต็มมือ และบ้างก็กลัดเข็มกลัดอันใหญ่ครบชุด   นอกจากอัญมณีจะให้ความงามและแสดงฐานะแล้ว  พม่ายังเชื่อว่าอัญมณีเป็นเครื่องมงคลและมีความหมายที่ดี ดังนี้
   ทับทิม                      หมายถึง   บุญญาธิการ และ ความรุ่งโรจน์
   มรกต                       หมายถึง   ความสงบเย็นและสันติสุข
   เพชร                        หมายถึง   ความสามารถ
   ไพลิน                       หมายถึง   ความเมตตา
   โกเมน                       หมายถึง   พละกำลัง
   บุษราคัม                   หมายถึง   พลานามัย
   ปะการัง                    หมายถึง   ความยิ่งใหญ่
   มุก                            หมายถึง  สิริมงคล
   เพชรตาแมว              หมายถึง   อำนาจและความสำเร็จ
  

กำไลเท้า

นอกจากอัญมณีดังกล่าว ผู้หญิงพม่ายังนิยมประดับกายด้วยทอง ทำเป็นกำไลข้อเท้า สร้อยคอ ตุ้มหู ปิ่นปักผม หวีเสียม ในส่วนของกำไลนั้น สวมได้ทั้งที่ข้อมือและข้อเท้า พม่านิยมสวมกำไลเท้ามาแต่อดีต  โดยเฉพาะชาวพม่าที่มัณฑะเลจะนิยมใส่กำไลเท้าที่อาจทำด้วยทองหรือเงิน  แต่บางคนไม่นิยมกำไลเท้าที่ทำด้วยทอง ด้วยเหตุผลว่าทองใช้เป็นของสูงสำหรับปิดองค์พระ จึงไม่เหมาะที่จะสวมไว้กับเท้า และจะทำให้อำนาจพุทธคุณเสื่อมได้   ในปัจจุบันการใส่กำไลทองไม่เป็นที่นิยมกันนัก แม้แต่คณะละครรำก็ไม่สวมกำไลเท้ากันแล้ว อย่างไรก็ตาม พบว่ายังมีความนิยมประดับข้อเท้าด้วยสร้อยทองแทนกำไล

สร้อยคอ

ผู้หญิงพม่านิยมสวมสร้อยคอ  แต่ลักษณะของสร้อยคอจะต่างกันไปตามยุคสมัย เช่น ในสมัยราชวงศ์รัตนโบ่งหรือสมัยมัณฑะเลนิยมสวมสายสร้อยจนปิดลำคอ  ในสมัยอาณานิคมนิยมสร้อยมุก และสร้อยทองเส้นหนาที่ผลิตในไทย ซึ่งเรียกว่า โยดะยาบัตโจ (p6bt9pkt49N!dbt) ก็เคยเป็นที่นิยมในพม่าเช่นกัน

ตุ้มหู

ตุ้มหูเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่งของผู้หญิงพม่า  ในอดีตทั้งชายและหญิงพม่านิยมใส่ตุ้มหู  พม่าถือว่าตุ้มหูช่วยเสริมความงาม และทำให้ใบหน้าดูแจ่มใส  ดังคำกล่าวที่ว่า “แก้มผ่องใส ด้วยประกายตุ้มหู”  ในสมัยก่อนผู้ชายที่มีฐานะดีจะประดับหูด้วยมุก นิล หรือพลอยแดงขนาดเท่าลูกหมากย่อมๆ ส่วนคนทั่วไปจะนิยมใส่ตุ้มหูทำดัวยหยก แก้ว หรือใบลานมวน หรือ อาจเป็นตุ้มหูที่ทำด้ายขนแกะ  นอกจากนี้ นักรบอาจเอาชายโสร่งมามวนเสียบเป็นตุ้มหู

เสื้อ

ตามธรรมเนียมพม่า ผู้หญิงจะสวมเสื้อป้ายอกหรือผ่าอก มีแขนยาวและเอวสั้น ติดกระดุมแป็ะ หรือ กระดุมรังลายดอกอย่างจีน เสื้อป้ายอกนี้เรียกว่า “ยีงโพงอีงจี” ซึ่งมีความหมายว่า “เสื้อคลุมอก”  พอถึงสมัยอิสรภาพจนถึงปัจจุบัน หญิงสาวจะสวมใส่เสื้อตามสมัยนิยมมากขึ้น เช่น เสื้อเบลาส์ เสื้อเชิ้ต เสื้อยืดคอกลม ทั้งแบบตัวโคร่งและรัดรูป มีทั้งคอปิดและคอกว้าง  เสื้อผ้าแบบนี้หาซื้อง่าย ทำให้เสื้อป้ายอกลดความนิยมในหมู่วัยรุ่น  อย่างไรก็ตาม หากต้องออกงานก็ยังคงต้องใส่เสื้อผ่าอก แขนยาว ตัวสั้นตามธรรมเนียมพม่า และหากเป็นพนักงานของรัฐจะต้องสวมเสื้อผ้าแบบพม่าเป็นเครื่องแบบ เสื้ออาจเป็นสีขาวหรือสีเรียบอ่อนๆ   โดยเฉพาะครูตามโรงเรียนและอาจารย์มหาวิทยาลัยจะต้องแต่งกายให้ถูกระเบียบ ผู้หญิงต้องสวมเสื้อเอวสั้น แขนสามส่วน โดยเฉพาะในเวลามีงานพิธีหรือคุมสอบ ส่วนดารานักแสดงนั้น นิยมแต่งกายทั้งแบบพม่า และตามสมัยนิยม ผู้หญิงพม่าก็มักเลียนแบบอย่างการแต่งกายจากดารานักแสดง ผู้หญิงพม่านิยมแต่งกายให้งามอยู่เสมอในยามออกนอกบ้าน ส่วนมากมักจะสวมเสื้อผ้าไม่ให้ซ้ำจนบ่อยนัก เหตุนี้ อาชีพตัดเย็บเสื้อผ้าจึงเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดีอาชีพหนึ่ง
สาวพม่านิยมสวมเสื้อคลุมบางๆ จึงต้องใส่เสื้อซับในที่เรียกว่า “บ่อลี” เวลาสวมจะปิดเอวและพุงมิดชิด บ่อลีจึงเป็นได้ทั้งเสื้อยกทรงและเสื้อซับใน เนื้อผ้าบ่อลีมีทั้งผ้าธรรมดาและผ้าลูกไม้ ปัจจุบันสาวพม่าไม่ค่อยนิยมใส่บ่อลีตัวยาวนัก   และเริ่มหันมาสวมบ่อลีตัวสั้นหรือบราเซียกันมากขึ้น ที่ใส่บ่อลีมีสายเป็นดิ้นทองก็ยังมี  นอกเหนือจากชุดเสื้อป้ายอกและซิ่นแล้ว ยังนิยมชุดที่ตัดจากผ้าปาเต๊ะ ผ้ากิโมโน หรือผ้าลูกไม้  นอกจากนี้ ยังมีความนิยมใส่เสื้อที่ตัดจากผ้า “ผั่งปองชอง” ซึ่งเป็นผ้าใยแก้ว  โดยจะสวมทับกับเสื้อบ่อลีสายทอง แต่เนื่องจากผั่งปองชองเป็นผ้าที่ไม่ซับเหงื่อและไม่ระบายลม การใส่เสื้อผ้าเนื้อบางป้ายอก ที่เรียกว่า “ยีงโพงอีงจี่” จึงสวมได้สบายกว่า
สีสันของเสื้อผ้าที่จะใช้สวมออกงาน นิยมใช้สีที่ถือเป็นมงคล อาทิ สีชมพู สีเหลือง สีส้มออกสีทอง   สีที่ห้ามสวมในงานมงคล คือ สีดำ (ยกเว้นเสื้อไต้โป่งอีงจี่สีดำสำหรับผู้ชาย ซึ่งสวมในงานพิธี) ในงานแต่งงานเจ้าสาวไม่ควรสวมชุดสีเขียว  เพราะในภาษาพม่าคำว่า "สีเขียว" พ้องความหมายกับคำว่า “ห่างเหิน” อีกทั้งผู้หญิงพม่าไม่ค่อยนิยมสีชมพูเข้ม เพราะเป็นสีที่ผู้หญิงแขกนิยม และเรียกสีดังกล่าวว่า “กะลาหย่อง” ซึ่งแปลว่า “สีแขก” พม่าจึงดูจะไม่ค่อยชื่นชอบค่านิยมแบบแขกกันนัก

กระดุม

ในสมัยก่อน เสื้อสำหรับผู้หญิงพม่าจะติดด้วยกระดุมทอง เพชร  งาช้าง  เปลือกหอย กระดองเต่า หรือกระดุมโยดะยา แต่ในปัจจุบันเสื้อเอวสั้นที่ตัดตามแบบพม่าส่วนใหญ่จะใช้กระดุมแป๊ะ หรือกระดุมปั๊ม กระดุมที่มีมูลค่าสูงจึงเป็นที่นิยมกันในอดีต และหมดความนิยมในปัจจุบัน

ผ้าซิ่น

ผู้หญิงพม่ายังคงนิยมนุ่งผ้าซิ่นกันตลอดมา เช่นเดียวกับผู้ชายที่นิยมนุ่งโสร่ง ลวดลายผ้าโสร่งและผ้าซิ่นของพม่ามีหลากหลาย ในสมัยอาณานิคมนั้นลวดลายที่นิยมกันมาก คือ ลายตะขอ(เชะ)แบบพม่า   ลายแบบเมืองยอ  ลายแบบเชียงใหม่(ผลิตที่หมู่บ้านอีงเล) ลายแบบทะวาย และลายแบบยะไข่ ลายเหล่านี้เป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน และมักใช้สวมออกงาน ซึ่งเรียกว่า ชุดบแวไถ่(x:c56b'N)
ในยุคอาณานิคม ศูนย์กลางของตลอดผ้าจะอยู่ทางตอนล่างของประเทศพม่า ชาวพม่าที่เดินทางมายังเมืองย่างกุ้งมักจะซื้อโสร่งหรือซิ่นเป็นของฝากกลับบ้าน ในปัจจุบัน มีผ้าจากต่างประเทศเข้ามาแพร่หลายในพม่า และเกิดเป็นความนิยมลายผ้าแบบใหม่ ๆ เช่น ลายปาเต๊ะจากอินโดนีเซีย  ลายกิโมโนจากญี่ปุ่น และผ้ากำมะหยี่ปักลายดอกต่างๆ อย่างไรก็ตาม ผ้าลายแบบพื้นเมืองก็ยังคงได้รับความนิยม ด้วยมีคุณสมบัติเด่นเฉพาะตัว อาทิ ผ้ายะไข่เป็นผ้าเนื้อดีสีทน  ผ้าเมืองยอสะท้อนความเป็นชาตินิยมสืบมาแต่สมัยอาณานิคม เป็นชุดผ้าซิ่นที่สวมกับเสื้อทอที่เรียกว่า “ปีงนีชอ” ชุดนี้นางอองซานซูจีและสมาชิกพรรค มักสวมใส่ในช่วงหาเสียงคราวที่มีการเลือกตั้งก่อนหน้านี้ ปัจจุบันชาวพม่าไม่กล้าที่จะใส่ชุดนี้ เพราะกลัวว่าจะถูกเพ่งเล็งจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ปัจจุบัน ผู้หญิงพม่านิยมเสื้อผ้าชุดที่ตัดด้วยปาเต๊ะเช่นกัน  เพราะสวมสวยได้อย่างสง่าและสุภาพเรียบร้อย  ผ้าปาเต๊ะที่นิยมจะเป็นผ้าจากอินโดนีเซีย เล่ากันว่ามีคุณภาพและทนทาน  อีกทั้งยังมีลวดลายหลากหลายและมีสีสันสวยงาม  ส่วนปาเต๊ะไทยนั้น ไม่เป็นที่นิยมเท่ากับผ้าปาเต๊ะจากอินโดนีเซีย เพราะมีลวดลายให้เลือกน้อย และสีไม่ค่อยสดใส อีกทั้งขนาดของหน้าผ้าไม่พอตัดเป็นชุด  ส่วนปาเต๊ะของพม่านั้น แม้ราคาจะถูกกว่าปาเต๊ะจากอินโดนีเซียและไทยก็ตาม แต่สีไม่ค่อยทน จึงไม่เป็นที่นิยมในหมู่ชนที่พอมีกำลังซื้อ
ผ้าซิ่นของพม่าจะมีลวดลายตามกล่าวมาแล้ว แต่สำหรับชุดสำหรับพนักงานของรัฐนั้น จะกำหนดสีตามสายงานและตำแหน่ง เช่น ครูจะสวมซิ่นสีเขียว พยาบาลระดับหัวหน้าจะสวมสีน้ำเงิน ระดับรองลงมาเป็นสีเขียว และระดับผู้ช่วยพยาบาลจะเป็นสีแดง เป็นต้น
ในสมัยก่อน ผู้หญิงนิยมนุ่งซิ่นยาวคลุมเท้า  พอถึงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองจึงได้หันมาสวมผ้าซิ่นแบบสั้นเปิดถึงน่อง และก็เป็นแฟชั่นในยุคนั้นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ผู้หญิงพม่าสามารถนุ่งสิ่นได้ทั้งสองแบบ ส่วนชุดออกงานและชุดทำงานจะต้องสวมซิ่นให้ยาวถึงตาตุ่มเสมอ มิเช่นนั้นจะถือว่าแต่งตัวผิดจารีต ดังมีกรณีที่นักร้องสาวพม่านุ่งสั้นเลยเข่า รัฐบาลจึงสั่งให้ปิดกิจการของไนต์คลับที่เกิดเรื่องนั้นทันที
ในการนุ่งซิ่นของพม่านั้น จะไม่ต้องใช้สายรัด แต่จะมีหัวซิ่นที่เรียกว่า “อะแท๊ะเสี้ยน” ช่วยให้นุ่งกระชับและไม่หลุดง่าย หัวซิ่นอาจมีสีดำหรือสีเลือดไก่ แต่ที่พบเห็นทั่วไปมักจะเป็นสีดำ หัวซิ่นมีความกว้างราว ๑ คืบ หรือ ราว ๔ นิ้ว ส่วนการนุ่งซิ่นนั้น จะต้องนุ่งให้ตึงกระชับลำตัว ชายซิ่นต้องจัดเก็บให้เสมอกัน จึงจะดูเรียบร้อย  ผู้หญิงพม่าจะถูกกำชับให้สวมผ้าซิ่นให้เรียบร้อยอยู่เสมอ แม้ในยามอยู่กับบ้านก็ตาม

ผ้าคลุมไหล่

ในงานพิธีและงานบุญ หรือในเวลาสวดมนต์ไหว้พระ  ผู้หญิงพม่าที่เคร่งในประเพณี จะพาดผ้าคลุมไหล่ไว้กับตัวเสมอ  และจะเลือกใช้ผ้าที่มีสีสรรเข้ากับชุดเสื้อผ้าที่สวมใส่  และหากเป็นช่วงถือศีล ซึ่งต้องแต่งกายด้วยชุดโยคี ก็จะต้องใช้ผ้าคลุมไหล่เป็นสีโยคี หรืออาจเป็นสีน้ำตาลเข้ม นอกจากนี้ ในงานพิธีหรือการคุมสอบ เจ้าหน้าที่หรือครูอาจารย์ผู้หญิงจะต้องคล้องผ้าคลุมไหล่ ผ้าคลุมไหล่จึงถือเป็นเครื่องแบบสำหรับข้าราชการหญิงของพม่าด้วย

กระเป๋า

ผู้หญิงพม่าทั่วไปนิยมสะพายกระเป๋าหรือถือกระเป๋าติดมือในเวลาออกนอกบ้าน     ส่วนนักเรียนและนักศึกษาหญิงมักจะสะพายย่าม โดยเฉพาะย่ามปักไหมพรมแบบมีชายครุยยาวเป็นพู่ ย่ามที่นิยมเป็นย่ามจากรัฐฉาน ที่เรียกว่า ชานลแวเอ้ะ  ส่วนในวันรับปริญญา นักศึกษาหญิงจะนิยมพกกระเป๋ามือถือ ดังนั้นกระเป๋ามือถือจึงเป็นส่วนหนึ่งของชุดรับปริญญาไปด้วย

รองเท้า

พม่านิยมสวมรองเท้าคีบกันทั้งชายและหญิง และใช้สวมกับชุดประจำชาติของพม่า รองเท้าคีบสำหรับสวมออกงานมักจะเป็นรองเท้ากำมะหยี่ กล่าวกันว่าพม่านิยมใช้รองเท้าชนิดนี้กันมาตั้งแต่สมัยราชสำนัก ถือเป็นรองเท้าที่ให้ความเป็นสง่าและมีราศี แต่ในชีวิตประจำวันนั้น ผู้หญิงพม่ามักจะสวมรองเท้าคีบที่ทำจากหนัง มีสีสรรและรูปแบบต่างๆ  อย่างไรก็ตามสาวพม่าในยุคปัจจุบัน เริ่มหันมานิยมสวมรองเท้าส้นสูงในโอกาสสำคัญ รองเท้าส้นสูงจึงเป็นรองเท้าสมัยนิยมในยุคนี้

การแต่งหน้าทาเล็บ

แป้งตะนะคาเป็นเครื่องประทินผิวของผู้หญิงพม่ามานับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ตะนะคาเป็นแป้งสมุนไพร ที่นอกจากจะใช้ทาเพื่อความงามแล้ว ยังใช้ถนอมผิว ใช้กันแดด และแก้คัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับผิวพรรณ และยังเป็นยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อสำหรับเด็กได้ด้วย ชาวพม่าใช้ตะนะคาทาทาได้ทั้งหน้าและลำตัว

ส่วนยาทาคิ้วตำรับเดิมของพม่านั้น จะใช้หมึกแท่งของจีนผสมกับสมุนไพรของพม่าส่วนในการทาปาก ผู้หญิงพม่าเคยนิยมใช้กระดาษสีแดงจากเมืองจีน แต่ในปัจจุบันลิปสติกเป็นที่นิยมและหาซื้อได้ง่ายกว่า
ปัจุบันผู้หญิงพม่านิยมการแต่งหน้าและทาเล็บกันมาก โดยมากจะเรียนแบบอย่างจากดาราและนักร้อง ในโอกาสสำคัญ ผู้หญิงพม่ามักจะต้องแต่งหน้า ด้วยการทาคิ้ว ใส่ขนตาปลอม ทาเปลือกตา ทาแก้ม ทาปาก ทำชั้นตา และนิยมแลเงาบนหน้าให้จมูกดูเป็นสัน แต่งขอบตาให้ดวงตาดูโต ทาเล็บ บ้างย้อมผมและบำรุงผิวพรรณ ในการทาเล็บของผู้หญิงพม่านั้น จะให้ความสำคัญกับการทาเล็บเท้ามากกว่าการทาเล็บมือ เพื่อช่วยให้มองดูสวยและสะอาดตา  บางคนนิยมไว้เล็บมือเพียงข้างเดียว อีกข้างตัดเล็บสั้น ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการหยิบจับสิ่งของ

บุหรี่ขี้โย

ในอดีต ภาพหญิงสาวแต่งตัวสวยงาม ที่มือคีบบุหรี่ขี้โยมวนโต เป็นภาพที่เห็นกันเจนตาภาพหนึ่ง โดยเฉพาะผู้หญิงชั้นสูงมักจะถ่ายรูปวางท่าพร้อมกับคีบบุหรี่ขี้โย พม่าเรียกบุหรี่ขี้โยที่ผู้หญิงนิยมสูบว่า เซเปาะเละ  ปัจจุบันไม่ค่อยเห็นภาพผู้หญิงพม่าสมัยใหม่สูบบุหรี่กันมากนัก แต่ก็ยังพบเห็นได้บ่อยในชนบท ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงในวัยกลางคนหรือหญิงสูงอายุ บุหรี่ขี้โยที่นิยมมักมวนด้วยกาบข้าวโพด ส่วนบุหรี่สมัยใหม่ก็นิยมกันไม่น้อย

ร่ม

ร่มเคยเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่งสำหรับผู้หญิงพม่า โดยเฉพาะในเวลาถ่ายรูป จะพบภาพหญิงสาวพม่าวางท่าถ่ายรูป ในมือหนึ่งคีบบุหรี่เซเปาะเละ ส่วนอีกมือหนึ่งอาจถือร่ม ร่มที่นิยมในสมัยก่อนนั้น จะเป็นร่มผ้าที่ทำจากเมืองเองด่อยาแถบเมืองมัณฑะเล หรืออาจเป็นร่มทำด้วยผ้าไหม แพร ส่วนด้ามอาจทำด้วยงาช้างหรือเงิน ในภายหลังได้หันมานิยมร่มผ้าลายดอกไม้และทิวทัศน์ ที่ทำจากเมืองพะสิม เรียกว่า ร่มพะสิม หรือ ปะเตงที  นอกจากนี้ก็ยังมีร่มผ้าแพรสีดำ และร่มกระดาษไม้ไผ่จากเมืองจีน นับจากสมัยอิสรภาพจนถึงปัจจุบัน ร่มพับที่ทำจากผ้าแพรลายดอกได้รับความนิยมมากขึ้น
อุปนิสัยของหญิงงามแบบพม่า
นอกเหนือจากการแต่งตัวให้ดูสวยแล้ว  การวางท่าทางและการแสดงออกของผู้หญิงพม่าก็นับเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน  ผู้หญิงที่เรียกว่างามพร้อมควรต้องพูดจาสุภาพ ไม่ตะโกนโหวกเวก ไม่ปากร้าย  มีกริยาอ่อนโยน ขยัน และไม่ดูดาย เป็นต้น พม่ามีคำว่ากล่าวตักเตือนผู้ที่ทำตัวเกียจคร้านไว้ว่า   “ชายขี้เกียจ ชอบเอนหลัง หญิงขี้คร้าน ชอบเหยียดขา” หากลูกผู้หญิงนั่งในท่าเหยียดแข้งเหยียดขา ก็มักจะถูกผู้ใหญ่ดุด่าหรือตักตือน ซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น
การแต่งกายสำหรับผู้ชายพม่า
เอกลักษณ์ในการแต่งกายของผู้ชายพม่า คือ นุ่งโสร่งและคีบรองเท้าแตะ หากเป็นชุดประจำชาติจะต้องมีคองบองคลุมศรีษะไว้ด้วย พร้อมกับสวมเสื้อแตกพุงเป็นเสื้อนอก ส่วนเครื่องประดับกายนั้นมีไม่มากเท่าฝ่ายหญิง การแต่งการของผู้ชายพม่าเป็นดังนี้

ผ้าโพกศรีษะ

ผ้าโพกศรีษะถือเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งของผู้ชายพม่า เดิมเรียกว่า อูยิจ ซึ่งแปลว่า "ผ้าพันหัว"  เพราะแต่เดิมนั้นจะใช้ผ้าโพกศรีษะกันจริงๆ แต่ในปัจจุบัน นิยมทำเป็นผ้าครอบศีรษะและสวมอย่างหมวก เรียกว่า คองบอง  คือไม่ต้องโพกหัวอย่างอูยิจ ลักษณะของคองบองนั้นจะทำเป็นโครงหวาย มีรูปร่างอย่างสุ่มขนาดพอดีกับศีรษะ และด้านนอกเย็บด้วยผ้าคลุมทับให้เหลือชายผ้าไว้ด้านขวา เวลาจะใช้ก็เพียงหยิบสวมหัวอย่างหมวก  การใช้ผ้าโพกศรีษะของผู้ชายพม่ามีมานานแล้วนับแต่สมัยพุกาม ในอดีตผู้ชายพม่านิยมไว้ผมยาวทำเป็นช้องผม และใช้ผ้าโพกผมเก็บผมให้เรียบร้อยอีกทีหนึ่ง นอกจากนี้ ในการใช้ผ้าโพกผมของแต่ละคนนั้น อาจจะโพกผ้าคลุมมิดช้องผม หรืออาจจะเปิดให้เห็นช้องผมก็ได้
ผ้าโพกอาจเป็นผ้าสีพื้นหรือเป็นผ้ามีลาย  ในสมัยคอนบองตอนปลายนิยมใช้ผ้าลายมากขึ้น เพราะมีผ้าจากต่างประเทศให้เลือกหลายรูปแบบ  ส่วนในปัจจุบันกลับมานิยมคองบองผ้าพื้นสีเรียบ สีที่นิยมได้แก่สีเหลืองอ่อนและสีชมพูอ่อน เพราะถือเป็นสีมงคล  ในอดีตการใช้คองบองยังขึ้นอยู่กับฐานะอีกด้วย  คองบองจึงมีหลายหลักษณะ  เช่น  ในสมัยราชวงศ์ ชาววังจะใช้ผ้าโพกผมที่เรียกว่า บองด่อ เป็นผ้าที่ทำด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง  ในสมัยอาณานิคมนักศึกษามหาวิทยาลัยมักนิยมโพกผ้าแบบที่เรียกว่า บีเอ-อะปอง โดยจะโพกผ้าให้ด้านหน้าเป็นแถบใหญ่ ด้านหลังเป็นแถบเล็ก พร้อมกับปล่อยชาย  ส่วนผู้ชายไทใหญ่จะใช้ผ้าโพกที่ทำด้วยไหมบางๆ มีขนาดยาว ๑๒–๑๕ ศอก โดยด้านหน้าจะพันให้มีชั้นซ้อนไล่กันถึง ๑๒ ชั้น  และให้ชายผ้าชี้ขึ้นบน ต่างจากการโพกผ้าของผู้ชายพม่าที่จะปล่อยชายผ้าทิ้งลงล่าง
เดิมทีผ้าโพกศรีษะของผ���้ชายพม่าเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน กล่าวคือใช้ในเวลาทำงานหรืออาจใช้ในเวลาขี่ม้าเล่นแข่งขันในยามเย็น  มิใช่เกิดมาจากความจำเป็นเนื่องด้วยพิธีการแต่อย่างใด  พอถึงปัจจุบัน ผู้ชายพม่ากลับนิยมใช้ผ้าโพกศรีษะเฉพาะในงานพิธี และถือเป็นส่วนหนึ่งของชุดแต่งกาย อีกทั้งถือเป็นเครื่องแสดงศิริมงคล  และเป็นตัวบ่งบอกวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของการแต่งกาย ดังนั้นในบางโอกาสที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศ แม้ข้าราชการพม่าอาจต้องใส่ชุดสูทและรองเท้าหนังตามแบบสากลก็ตาม แต่ก็ยังอาจต้องสวมคองบองไว้ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงความเป็นชนชาติพม่าในสายตาชาวโลก และยังใช้สื่อความเป็นศิริมงคลในสายตาของชาวพม่าด้วยกัน

เสื้อ

เสื้อสำหรับผู้ชายพม่าจะเป็นเสื้อเชิ้ต อาจเป็นแขนยาวหรือแขนสั้นก็ได้ หรืออาจเป็นเสื้อแขนยาวแบบคอตั้ง มีสีขาว ที่เรียกว่า แลกะโดง  เวลาออกงานกลางคืนมักจะใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาว ที่มีสีสุภาพ หรือ เสื้อเชิ้ตแขนยาว ตัดด้วยผ้าบาติก  ส่วนในงานพิธีจะสวมเสื้อแลกะโดงพร้อมกับเสื้อนอก ที่เรียกว่า ไต้โป่งอีงจี่  เสื้อไต้โป่งนี้ มักจะเป็นสีเรียบๆ เช่น สีขาว สีเนื้อ สีเทา สีฟ้าอ่อน  สีเขียวอ่อน หรือ สีดำ  โดยเฉพาะไต้โป่งสีดำนั้น จะเป็นสีสำหรับทนายความ และสำหรับข้าราชการในเวลาออกงานราตรี  พม่าถือว่าชุดไต้โป่งเป็นชุดสุภาพ และนิยมสวมใส่ในโอกาสสำคัญ เช่น การเข้าพบผู้ใหญ่ เวลาประชุม งานบุญ  หรือ งานพิธี ปัจจุบันเด็กหนุ่มเริ่มหันมานิยมเสื้อเชิ้ต และเสื้อคอกลม กันมากกว่าเสื้อไต้โป่ง

โสร่ง

ผู้ชายพม่าโดยทั่วไปจะสวมโสร่งทั้งในเวลาอยู่บ้านและในยามออกนอกบ้าน ผ้าที่นำมาเย็บเป็นโสร่ง มีทั้งฝ้ายและไหม อาจเป็นผ้าที่ผลิตในประเทศ หรือที่นำเข้าจากอินเดีย ผ้าโสร่งฝ้ายหรือโสร่งจากอินเดียดูจะเป็นที่นิยมสวมอยู่กับบ้าน เพราะเป็นผ้าเนื้อเบาบาง สวมใส่สบาย แต่เมื่อต้องออกงานจะใช้โสร่งผ้าไหม โสร่งฝ้ายยะไข่(ผ้าทอจากรัฐยะไข่) หรือโสร่งฝ้ายจากเมืองยอ(ผ้าทอจากเมืองยอ ซึ่งอยู่ตอนกลางของประเทศพม่า) ในสมัยอดีตผ้าทอจากบางกอก ที่เรียกว่า บางเก้าก์โลงจี ก็เคยเป็นที่นิยมของชาวพม่าเหมือนกัน ส่วนในสมัยราชวงศ์  กษัตริย์พม่าจะสวมโสร่งที่มีชายยาววางพาดแขน เรียกว่า ต่องเฉ่ปะโซ ปัจจุบันยังคงเป็นผ้านุ่งสำหรับเจ้าบ่าว  สำหรับวัยรุ่นนั้น แม้จะยังคงนิยมนุ่งโสร่ง แต่ก็เริ่มหันมานุ่งกางเกงกันบ้างแล้ว

รองเท้า

ผู้ชายพม่านิยมสวมรองเท้าคีบทั้งในชีวิตประจำวันและในโอกาสสำคัญ โดยเฉพาะในเวลาออกงานจะสวมรองเท้าคีบที่ทำด้วยกำมะหยี่ ยี่ห้อที่นิยมที่สุดและมีคุณภาพดี คือ ตราช้างหกตัว แต่มีราคาแพงมาก คู่หนึ่งตก ๑๕๐๐ จั๊ต  ในขณะที่รองเท้าคีบทั่วไปจะมีราคาราว ๓๐๐–๔๐๐ จั๊ตเท่านั้น  แต่ถ้าเป็นข้าราชการทหารและตำรวจ ในเวลาสวมเครื่องแบบจะใส่รองเท้าหนังหุ้มส้น

การสักลาย

ในสมัยก่อน ผู้ชายพม่านิยมสักลาย โดยนิยมสักที่เอวจนถึงหัวเข่า สีที่ใช้สักมักจะเป็นสีดำหรือสีน้ำเงินเข้ม และมีบ้างที่ใช้สีแดง พม่ามีคำเรียกลายสัก ๒ คำ คือ โท-กวีง  ซึ่งแปลว่า “ลายวงสัก” และ มีงจ่อง แปลว่า “เส้นลายหมึก”
จากข้อเขียนที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ จองตาตะดีงส่า ในปี ค.ศ. ๑๙๔๐ กล่าวไว้ว่า การสักลายของพม่าเริ่มในสมัยพระเจ้าโพด่อพญา (ค.ศ.๑๑๔๓–๑๑๘๑) วิธีสักนิยมสักจากเอวจนถึงหัวเข่า ส่วนเหตุที่ชาวพม่านิยมสักลายนั้น เป็นเพราะในสมัยก่อนนั้นเวลาทำนาหรือออกรบมักจะต้องนุ่งแบบถกเขมรอวดต้นขา นอกจากนี้ลายสักยังถือเป็นเครื่องแสดงความเป็นลูกผู้ชาย และถือว่าผู้มีลายสักเป็นผู้ที่มีความอดทนและกล้าหาญ ดังนั้น ผู้ชายที่ไม่สักลาย มักจะถูกดูแคลน นั่นหมายรวมถึงอาจไม่เป็นที่หมายปองของหญิงสาวอีกด้วย
ในการสักลายนั้น นอกจากสักที่เอวจนถึงเข่าแล้ว ผู้ชายพม่ายังนิยมสักบนร่างกายส่วนอื่นอีก เช่น ที่ต้นคอ ไหล่ ท้ายทอย บางคนสักไว้ตามจุดสำคัญทั่วตัว เริ่มจากหัวจรดเท้า ด้วยเชื่อว่าเป็นการป้องกันอันตราย อยู่ยงคงกระพันแบบที่พม่าเรียกว่า “กายสิทธิ” และ “ปิยสิทธิ”  อาทิ หากสักที่บริเวณปาก จะช่วยป้องกันพิษที่อาจจะติดมากับอาหาร เป็นต้น การสักจึงไม่เพียงเพื่อแสดงความเป็นลูกผู้ชายเท่านั้น หากยังใช้เป็นเครื่องป้องกันภยันตรายอีกด้วย แต่บางคนก็สักเพียงเพื่อความสวยงามเท่านั้น ส่วนลวดลายที่นิยมสักกันนั้น มีหลายแบบ เช่น เป็นรูปแมว นกคุ้ม จิ้งจก ตัวอักขระ คาถา หรือ ยันต์ต่างๆ แต่ละลายมีความหมายแตกต่างกันไป เช่น  ลายแมวบ่งบอกถึงความคล่องแคล่วว่องไว  เป็นอาทิ
ปัจจุบัน การสักลายที่เอวจนถึงหัวเข่าไม่ค่อยเป็นที่นิยมของชาวพม่านัก แต่การสักเป็นบางที่เพื่อคุ้มกันตัวนั้นยังคงมีสืบมาจนปัจจุบัน โดยนิยมทั้งในหมู่ชายฉกรรจ์หรือ พระสงฆ์  นอกจากนี้การสักเพื่อความงามหรือเพื่อความโก้เก๋ยังนิยมในหมู่วัยรุ่นอีกด้วย การบริการสักลายยังสามารถพบเห็นได้อยู่เสมอในงานวัด แต่มิใช่เป็นการสักด้วยเครื่องมือแบบเก่า หากเป็นวิธีสักด้วยมอเตอร์ ผู้รับบริการสามารถเลือกลวดลายได้มาก และใช้เวลาในการสักไม่นานนัก
นอกเหนือจากการแต่งกายของผู้ชายและผู้หญิงชาวพม่าดังกล่าวมาแล้วนั้น ในส่วนของการแต่งกายของเด็กพม่า พบว่าปัจจุบันเด็กผู้ชายพม่าที่อยู่ตามชนบทจะยังคงนิยมนุ่งโสร่งกันมากกว่าเด็กที่อยู่ในเมือง ซึ่งหันมาสวมกางเกงขาสั้นกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ส่วนเสื้อก็มักจะเป็นเสื้อเชิ้ต แต่สำหรับครอบครัวที่มีฐานะ มักจะสวมเสื้อยืด ในทำนองเดียวกัน เด็กผู้หญิงในชนบทจะยังคงนิยมนุ่งผ้าซิ่น ในขณะที่ในเมืองนั้น พบว่ามีทั้งนุ่งกางเกงและนุ่งกระโปรง พอโตเป็นสาวจึงจะหันมานุ่งผ้าซิ่นแทน  สำหรับชุดนักเรียนนั้น ในระดับชั้นประถม ๑-๔ ผู้ชายจะสวมกางเกง ส่วนผู้หญิงจะนุ่งกระโปรง เป็นสีเขียวทั้งชายและหญิง ส่วนเสื้อจะเป็นสีขาว สำหรับเด็กระดับชั้นประถม ๕–๑๐ ผู้ชายจะนุ่งโสร่งและผู้หญิงจะนุ่งซิ่น และมีสีเขียว ส่วนเสื้อนั้นเป็นสีขาว
นอกเหนือจากการแต่งกายของชาย หญิง และเด็กดังกล่าวมาข้างต้นนั้น หากเป็นพนักงานของรัฐ ก็จะมีการกำหนดชุดเป็นเครื่องแบบโดยเฉพาะ อาทิ ทหาร ตำรวจ  และบุรุษไปรษณีย์จะมีชุดเครื่องแบบ หากเป็นผู้ชายจะสวมกางเกง ผู้หญิงจะสวมกระโปรงยาวลงมาครึ่งน่อง  สีสำหรับตำรวจ  เจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมือง และทหารอากาศ จะเป็นสีกากี สีเขียวสำหรับทหารบก สีน้ำเงินสำหรับทหารเรือ  สีเทานกพิราบสำหรับบุรุษไปรษณีย์ แต่ถ้าเป็นพนักงานประเภทอื่นจะนุ่งโสร่งหรือผ้าซิ่น เช่น ครูโรงเรียนทั้งหญิงและชายจะใส่เสื้อสีขาว นุ่งโสร่งหรือผ้าซิ่นสีเขียว พบว่าครูผู้ชายมักจะใส่โสร่งสีเขียวมีลาย ส่วนครูผู้หญิงจะนุ่งผ้าซิ่นสีเรียบ ส่วนพยาบาลนั้นจะใส่เสื้อสีขาว และสวมโสร่งสีเขียว น้ำเงิน หรือแดง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ถ้าเป็นพยาบาลฝ่ายปกครองจะนุ่งซิ่นสีเขียว ถ้าเป็นพยาบาลทั่วไปจะนุ่งซิ่นสีน้ำเงิน แต่ผู้ช่วยพยาบาลจะนุ่งซิ่นสีแดง  ส่วนพนักงานทำความสะอาดผู้หญิงจะสวมซิ่นสีน้ำเงินและเสื้อสีส้ม

มารู้จักประเทศพม่ากันเถอะ



รู้จักพม่า (Myanmar)

ชื่อประเทศ
 สหภาพเมียนมาร์ (Union of Myanmar)
ธงชาติ
อาณาเขต 657,740 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 1.3 เท่าของไทย)
ประชากร จำนวนประชากรประมาณ 50.2 ล้านคน ( พ.ศ.2547)
ลักษณะภูมิประเทศ ประเทศพม่าตั้งอยู่ที่ละติจูดที่ 28 องศา 30 ลิปดา ถึง 10 องศา 20 ลิปดาเหนือ เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีลักษณะพิเศษนั้นคือมันเป็นเพียงแค่ประเทศหนึ่งเดียวในภูมิภาคเอเชียใต้นี้เท่านั้น ที่มีพรมแดนทางแผ่นดินติดต่อกับสองประเทศซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกนั้นก็คือ จีนและอินเดียภูมิประเทศตั้งอยู่ตามแนวอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันทำให้ มีชายฝั่งทะเลยาวถึง 2,000 ไมล์ และมีหาดที่สวยงามเก่าแก่บริสุทธิ์อยู่หลายแห่ง พม่ามีชายแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือติดกับบังคลาเทศและอินเดีย และทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับธิเบตและจีน ส่วนทางตะวันออกติดกับลาว และทางตอนใต้ติดกับไทย รูปพรรณสัณฐานเหมือนกับว่าวที่มีหางยาวล้อมรอบเกือกม้าขนาดใหญ่คือแนวเทือกเขามหึมา และภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ มียอดเขาสูงอยู่มากมายตามแนวเทือกเขาของพม่าและมีหลายยอดที่สูงเกินกว่า 10,000 ฟุต ตามแนวชายแดนหิมาลัยทางเหนือของพม่าที่ติดกับธิเบตเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ฮากากาโบ ราซี” 19,314 ฟุต ต่ำลงมาจากแนวเขาเหล่านี้เป็นที่ราบกว้างใหญ่ภายในประเทศพม่า รวมทั้งเขตแห้งแล้งกินอาณาเขตกว้างตอนกลางของพม่า และยังมีที่ราบลุ่มบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดีที่อุดมสมบูรณ์ทอดยาวลงไปทางตอนใต้เป็นนาข้าวกว้างใหญ่ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
แผนที่ อาณาเขต แผนที่พม่า
ทิศเหนือ ติดประเทศจีน
ทิศตะวันออก ติดกับจีน ลาว และไทย
ทิศตะวันตก ติดกับอ่าวเบงกอล อินเดีย และบังคลาเทศ
ทิศใต้ ติดกับทะเลอันดามันและอ่าวเบงกอล
เมืองหลวง เนปิดอย์ (Naypyidaw))
ประชากรเมืองหลวง ประชากรของเมืองหลวงยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดเนื่องจากว่าเป็นตั้งให้เนปิดอย์ให้เป็นเมืองหลวงได้ไม่นาน เปรียบเสมือนเมืองนี้ส่วนมากจะเป็นที่บัญชาการของรัฐบาล มากกว่า เพราะโดยส่วนมากความเจริญจะอยู่ที่ ย่างกุ้งแต่ก็มีประชากรเริ่มเข้ามาอาศัยที่เมืองหลวงใหม่มากขึ้น
ภาษา ภาษาพม่าเป็นภาษาราชการ(นอกจากนี้พม่ามีภาษาหลักที่ใช้งานในประเทศถึงอีก 18 ภาษา)
ศาสนา พม่าบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติใน พ.ศ. 2517
เวลา เวลาที่ประเทศพม่าจะช้ากว่าประเทศไทย 30 นาที
กระแสไฟฟ้า/ปลั๊กไฟ ไฟฟ้าในพม่าเป็นไฟ 220 volt ใช้ปลั๊กไฟได้หลายแบบ ทั้งแบบ 2 ขาแบน 2 ขากลม และ 3 ขาแบน ดูรูป
การปกครอง เผด็จการทางทหาร
สกุลเงิน จั๊ต (Kyat) ประมาณ 1,170 จั๊ต ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 35 จั๊ต เท่ากับ 1 บาท (มีนาคม 2551)เงินพม่า
รหัสโทรศัพท์ระหว่างประเทศ +95
สภาพภูมิอากาศ อยู่ในเขตมรสุมมี 3 ฤดู เช่นเดียวกับประเทศไทยแต่จะมีฝนตกชุกและมีความชุ่มชื้นสูงกว่าไทยมาก
-ฤดูฝน ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม
-ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์
- ฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน
ฤดูที่น่าเดินทางไปท่องเที่ยว ฤดูหนาว อากาศเย็นสบายทางเหนือของประเทศจะมีอากาศหนาว เป็นช่วงเวลาที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว

ประเพณีพื้นเมือง สังคมพม่านับได้ว่าเป็นสังคมที่แทบหยุดกาลเวลา และหยุดความเปลี่ยนแปลงไว้ได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้เพราะพม่าปิดประเทศมานานกว่า ๓ ทศวรรษ ในขณะที่โลกได้พัฒนาด้านเทคโนโลยีไปมาก ในช่วงเวลานั้นสังคมพม่าอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่นเน้นความเป็นอยู่แบบพอมีพอกินและพึ่งพาตนเอง สิ่งจำเป็นจึงมีเพียงแค่ปัจจัยสี่ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค อีกทั้งสิ่งยั่วเย้าในการบริโภคที่เกินความจำเป็นก็มีไม่มาก ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพม่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้จึงมีความเรียบง่าย และไม่มีเรื่องที่จะต้องจับจ่ายกันมากนักนับแต่อดีตมา พม่ามีงานประเพณีของแต่ละเดือนในรอบปี เรียกว่า แซะนะล่ะหย่าตี่บะแว หรือประเพณีสิบสองเดือน ในยุคราชวงศ์ของพม่ามีการกำหนดให้งานนี้เป็นพระราชพิธี แม้ว่าในปัจจุบันพม่าจะยังคงสืบทอดงานประเพณีสิบสองเดือนไว้ แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง ประเพณีสิบสองเดือนของพม่าเป็นดังนี้ (เดือน ๑ ของพม่า เท่ากับเดือน ๕ ของไทย และเดือน ๑๒ ไทย เท่ากับเดือน ๘ พม่า)

เดือนหนึ่ง เรียกว่า เดือนดะกู (มี.ค.-เม.ย.) เป็นเดือนเริ่มศักราชใหม่ และเป็นเดือนต้นฤดูร้อน ประเพณีสำคัญของเดือนนี้คืองานฉลองสงกรานต์ พม่าถือเป็นงานฉลองวันส่งท้ายปีเก่าและย่างสู่ปีใหม่ มีการเล่นสาดน้ำกันตลอด ๕ วัน ชาวพม่าถือว่าช่วงเวลานี้เป็นวันมงคล จึงนิยมเข้าวัดรักษาศีล ช่วยกวาดลานวัดและลานเจดีย์ สรงน้ำพระพุทธและเจดีย์ รดน้ำดำหัวพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ตลอดจนครูบาอาจารย์ และสระผมให้ผู้เฒ่าผู้แก่ด้วยน้ำส้มป่อย งดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต บ้างสร้างกุศลด้วยการปล่อยวัว ควาย และปลา กวีพม่าชื่อ อูบุญญะ บันทึกไว้ว่า ในยามเที่ยงตรงของเดือนดะกู จะเห็นเงาตนเองใกล้ตัวเพียงแค่ ๓ ฝ่าเท้า หากเป็นเดือนอื่น จะเห็นได้ยาวสุดถึง ๖ ฝ่าเท้า ฉะนั้นเดือนดะกูจึงเป็นเดือนที่ตะวันยามเที่ยงอยู่ตรงศีรษะมากที่สุด เมื่อสิ้นวันสงกรานต์ ชาวพม่าจะนิยมจัดงานบวชเณรให้บุตรและจัดงานเจาะหูให้ธิดา ดังนั้นในช่วงหลังสงกรานต์ จะพบเห็นขบวนแห่ลูกแก้วและลูกหญิงไปตาม ท้องถนนและรอบลานองค์เจดีย์ ตามวัดต่างๆจึงมีสามเณรบวชใหม่อยู่กันเต็มแทบทุกวัด

เดือนสอง เรียกว่า เดือนกะโส่ง (เม.ย.-พ.ค.) พม่ามีสำนวนว่า "ดะกูน้ำลง กะโส่งน้ำแล้ง" เดือนกะโส่งจึงเป็นเดือนที่แห้งแล้ง ภาวะอากาศในเดือนนี้ออกจะร้อนอบอ้าวกว่าเดือนอื่นๆ ชาวพุทธพม่าจึงจัดงานรดน้ำต้นโพธิ์กันในวันเพ็ญของเดือนกะโส่ง และถืออีกว่าวันนี้ตรงกับวันที่พระพุทธเจ้าทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พม่าได้กำหนดเรียกวันดังกล่าวว่า วันพุทธะ ในวันนี้ชาวพุทธพม่าจะนิยมปฏิบัติบูชาตามวัดและเจดีย์ ด้วยการรักษาศีลและเจริญภาวนา วัดและเจดีย์จึงมีผู้คนไปทำบุญมากเป็นพิเศษ เดือนกะโส่งนับเป็นเดือนที่ฝนเริ่มตั้งเค้า ชาวนาจะเริ่มลงนา เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก

เดือนสาม เรียกว่า เดือนนะโหย่ง (พ.ค.-มิ.ย.) เดือนนี้เป็นเดือนเริ่มการเพาะปลูก ฝนฟ้าเริ่มส่อเค้าและโปรยปราย อากาศเริ่มคลายร้อน ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มแตกยอด โรงเรียนต่างเริ่มเทอมใหม่หลังจากปิดภาคฤดูร้อน เดือนนะโหย่งจึงนับเป็นเดือนเริ่มชีวิตใหม่หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายเดือน ในสมัยราชวงศ์เคยจัดพิธีแรกนาขวัญในเดือนนี้ พม่าเรียกพิธีนี้ว่า "งานมงคลไถนา" ส่วนในทางศาสนา เคยเป็นเดือนสอบท่องหนังสือ พุทธธรรมสำหรับพระเณร กล่าวว่ามีมาตั้งแต่สมัยของพระเจ้าตาหลุ่นมีงตะยา แห่งอังวะยุคหลัง ในอดีตจะสอบเฉพาะท่องหนังสือด้วยปากเปล่า แต่ปัจจุบันมีทั้งการสอบเขียนและสอบท่อง และได้ย้ายไปจัดในเดือนดะกูซึ่งเป็นเดือนแรกของปี

เดือนสี่ เรียกว่า เดือนหว่าโส่ (มิ.ย.-ก.ค.) ถือเป็นเดือนสำคัญทางพุทธศาสนา ด้วยเป็นเดือนเข้าพรรษา พม่ากำหนดให้วันเพ็ญเดือนหว่าโส่เป็นวันธรรมจักรเพื่อน้อมรำลึกวันปฏิสนธิ วันออกบวช และวันปฐมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันนี้ชาวพุทธพม่าจะเข้าวัดทำบุญและนมัสการพุทธเจดีย์กันอย่างเนืองแน่น และถัดจากวันธรรมจักร คือ วันแรม ๑ ค่ำของเดือนหว่าโส่ จะเป็นวันที่พระสงฆ์เริ่มจำพรรษาในเดือนนี้สาวๆพม่าในหมู่บ้านมักจะจับกลุ่มออกหาดอกไม้นานา เรียกรวมๆว่า ดอกเข้าพรรษาซึ่งขึ้นอยู่ตามชายป่าใกล้หมู่บ้าน เพื่อนำมาบูชาพุทธเจดีย์ นอกจากนี้ยังมีการถวายจีวรและเทียนที่วัด กิจกรรมสำคัญอีกอย่างหนึ่งในเดือนหว่าโส่ คือ งานบวชพระ ด้วยถือว่าวันเพ็ญเดือนหว่าโส่นั้น เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้กับเบญจวัคคี ในอดีตนั้นพระมหากษัตริย์จะทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ การบวชพระและเณรสำหรับผู้สอบผ่านพุทธธรรมตามที่จัดสอบกันในเดือนนะโหย่งที่ผ่านมา ฤดูฝนจะเริ่มในเดือนหว่าโส่ และในเดือนหว่าโส่นี้ยังเป็นเดือนลงนาปลูกข้าว เล่ากันว่าชาวนาจะลงแขกปักดำข้าวในนา พร้อมกับขับเพลงกันก้องท้องทุ่งนา

เดือนห้า เรียกว่า เดือนหว่าข่อง (ก.ค.-ส.ค.) เป็นเดือนกลางพรรษา และเป็นเดือนที่มีงานบุญสลากภัต พม่าเรียกว่า สะเยดั่งบแว แต่เดิมใช้การจับติ้ว ภายหลังหันมาใช้กระดาษม้วนเป็นสลาก ปัจจุบันการจัดงานบุญสลากภัตมีกล่าวถึงกันน้อยลง แต่กลับมีงานที่เด่นดังระดับประเทศขึ้นมาแทน คืองานบูชาผีนัตที่หมู่บ้านต่องปะโยง ณ ชานเมืองมัณฑะเล เดือนนี้เป็นเดือนที่ฝนมักตกหนักกว่าเดือนอื่น

เดือนหก เรียกว่า เดือนต่อดะลีง (ส.ค.-ก.ย.) เป็นเดือนน้ำหลาก น้ำตามแม่น้ำลำคลองจะขึ้นเอ่อเต็มตลิ่ง หลายท้องถิ่นจะจัดงานแข่งเรือกันอย่างสนุกสนาน และในเดือนนี้เช่นกันจะพบเห็นแพซุงล่องตามลำน้ำเป็นทิวแถว โดยเฉพาะในแม่น้ำอิระวดี แพซุงจะล่องจากเหนือสู่ปลายทาง ณ ท่าน้ำเมืองย่างกุ้ง และเดือนนี้อีกเช่นกันที่ชาวประมงจะเริ่มลงอวนจับปลา ด้วยเป็นเดือนที่มีปลาออกจะชุกชุมเป็นพิเศษ

เดือนเจ็ด เรียกว่า เดือนดะดีงจุ๊ต (ก.ย.-ต.ค.) ในวันเพ็ญของเดือนนี้จะมีการทำปวารณาในหมู่สงฆ์ ชาวพุทธพม่าเรียกวันนี้เป็นวันอภิธรรม ด้วยเป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ทรงเทศนาพระอภิธรรมตลอด ๓ เดือนในพรรษาที่ผ่านมา ชาวพุทธจะจัดงานจุดประทีปเพื่อสักการะบูชาพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ยังมีงานลอยโคมไฟ บางที่จะทำโคมลอยขนาดใหญ่เป็นรูปโพตู่ด่อ หรือปะขาว รูปช้าง และรูปเสือ เป็นอาทิ นัยว่าทำเพื่อบูชาพระธาตุจุฬามณี ซึ่งอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นอกจากนี้ในรัฐฉานจะมีงานบูชาพระเจ้าผ่องด่ออูซึ่งเป็นพุทธรูป ๕ องค์ ที่หมู่บ้านนันฮู) ณ กลางทะเลสาปอีงเล กล่าวกันว่าพระเจ้าผ่องด่ออูเป็นพระพุทธรูปที่มีมาแต่สมัยพระเจ้าอะลองสี่ตู่แห่งพุกาม ต่อจากวันอภิธรรมจะเป็นวันออกจากพรรษา ซึ่งตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ ของเดือนดะดีงจุ๊ต ในเดือนดะดีงจุ๊ตนี้ยังจัดประเพณีไหว้ขมาต่อบิดามารดาและครูบาอาจารย์ นอกจากนี้ชาวพม่ายังเริ่มจัดงานมงคลสมรสกันในเดือนนี้ โดยเริ่มจัดนับแต่วันแรม ๑ ค่ำ ของเดือนตะดีงจุ๊ต ด้วยเชื่อว่าช่วงในพรรษานั้น กามเทพหรือเทพสัตตะภาคะจำต้องพักผ่อน จึงต้องเลี่ยงจัดงานแต่งงานในช่วงเวลาดังกล่าว จนกว่าจะพ้นช่วงพรรษา

เดือนแปด เรียกว่า เดือนดะส่องโมง (ต.ค.-พ.ย.) เป็นเดือนเปลี่ยนฤดูจากหน้าฝนย่างเข้าหน้าหนาว กล่าวคือครึ่งแรกของเดือนจะเป็นท้ายฤดูฝน และครึ่งหลังของเดือนจะเป็นช่วงต้นหนาว ชาวนาจะเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวกันในเดือนนี้ ในทางพุทธศาสนานั้น เดือนดะส่องโมงถือเป็นเดือนสำหรับงานทอดกฐิน ซึ่งที่จริงพม่ากำหนดช่วงเวลาจัดงานทอดกฐินเริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำกลางเดือนดะดีงจุ๊ต จนถึงวันเพ็ญกลางเดือนดะส่องโมง รวมเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ในงานกฐินนี้จะมีการแห่ครัวทานที่พม่าเรียกว่า ปเดต่าบี่งหรือ ต้นกัลปพฤกษ์ และในวันสุดท้ายของฤดูกฐิน ซึ่งตรงกับวันเพ็ญของเดือนดะส่องโมงนั้น ชาวพุทธพม่าจะมีการจัดงานจุลกฐิน พม่าเรียกจุลกฐินนี้ว่า มโตตี่งกาง แปลตามศัพท์ว่า "จีวรไม่บูด" เทียบได้กับอาหารที่ไม่ทิ้งให้ค้างคืนจนเสีย มโตตี่งกางเป็นกฐินที่ต้องทำให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว เริ่มแต่ปั่นฝ้ายให้เป็นด้าย จากด้ายทอให้เป็นผืนผ้า แล้วย้อมตัดเย็บเป็นจีวร ในเดือนนี้ยังมีพิธีตามประทีป และทอดผ้าบังสุกุล หรือปั้งดะกู่ อีกด้วย

เดือนเก้า เรียกว่า เดือนนะด่อ (พ.ย.-ธ.ค.) เป็นเดือนที่เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ชาวนา จะนวดข้าวและสงฟางสุมเป็นกอง เดิมเคยเป็นเพียงเดือนสำหรับบูชานัตหลวงหรือผีหลวงที่ เขาโปปาแห่งเมืองพุกาม แต่ปัจจุบันพม่ากำหนดให้มีงานเทิดเกียรติกวีและนักปราชญ์ของพม่าแทน โดยจัดในวันขึ้น ๑ ค่ำ งานนี้เริ่มจัดเป็นครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๔๔ ทุกๆปีจะจัดให้มีการอ่านบทประพันธ์และการเสวนาเกี่ยวกับวรรณกรรมกันตามสถานศึกษา และตามย่านชุมชนต่างๆ สำหรับในยุคราชวงศ์เคยถือเอาเดือนนี้จัดพระราชพิธีเพื่อมอบบรรดาศักดิ์ให้กับนักรบนักปกครอง ตลอดจนกวีที่มีผลงานดีเด่น ตัวอย่างบรรดาศักดิ์สำหรับนักรบมีเช่น เนมะโยเชยยะสูระ และมหาสีริเชยยะสูระ เป็นต้น ส่วนบรรดาศักดิ์สำหรับกวี อาทิ นัตฉิ่งหน่อง ปเทสะราชา ชเวต่องนันทะสู และเส่งตะจ่อตู่ เป็นต้น แต่เดิมนั้นเดือนนี้ยังเป็นเดือนสำหรับการคล้องช้างอีกด้วย

เดือนสิบ เรียกว่า เดือนปยาโต่ (ธ.ค.-ม.ค.) เดือนนี้เป็นเดือนที่หนาวจัด กวีหญิงของพม่าสมัยคองบอง ชื่อแหม่เควฺ เคยบันทึกไว้ว่า "เดือนปยาโต่ หนาวเหน็บจนกายสั่น ผิงไฟยังมิอุ่น ห่มผ้าหลายผืนยังมิคลาย" ในเดือนนี้ชาวไร่ที่กำลังเก็บเกี่ยวงาจะต้องคอยเฝ้าระวังฝนหลงฤดู หากฝนตกลงมาในเวลาที่เก็บงา งาก็จะเสียหาย ชาวนาพม่าจะเรียกฝนที่ตกยามนี้ว่า ฝนพังกองงา ความหนาวเย็นจะล่วงมาจนถึงเดือนดะโบ๊ะดแวซึ่งเป็นเดือนถัดมา ในอดีตเคยจัดงานอัศวยุทธโดยมีการประลองยุทธด้วยช้างศึก ม้าศึก และการใช้อาวุธต่างๆ อาทิ ดาบ หอก เป็นต้น รัฐบาลพม่าเคยรื้อฟื้นจัดงานนี้ในปีท่องเที่ยวพม่า แต่ก็จัดได้เพียงปีเดียวเท่านั้น

เดือนสิบเอ็ด เรียกว่า เดือนดะโบ๊ะดแว (ม.ค.-ก.พ.) ในเดือนนี้ชาวพม่ารำลึกถึงพระพุทธเจ้าที่ย่อมต้องทรงผจญต่อภัยหนาวเช่นกัน และเชื่อว่าการผิงไฟจะช่วยให้ธาตุ ๔ คืนสู่สมดุลย์ ชาวพม่าจึงจัดงานบุญบูชาไฟแด่พระพุทธและพระเจดีย์ซึ่งเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า เรียกว่างานหลัวไฟพระเจ้า หรือ งานบุญไฟ) ปัจจุบันยังคงมีงานบุญเช่นนี้เฉพาะในบางท้องที่ของพม่าตอนบน ในเดือนนี้ยังมีงานกวนข้าวทิพย์ ซึ่งจัดในช่วงข้างขึ้นของเดือน กล่าวว่าพม่าจัดงานนี้มาแต่สมัยญองยาง และในเดือนนี้อีกเช่นกันที่ชาวบ้านจะเริ่มเกี่ยวข้าวและปีนเก็บน้ำตาลสดจากยอดตาล ซึ่งพบเห็นทั่วไปในเขตพม่าตอนกลางและตอนบน

เดือนสิบสอง เรียกว่า เดือนดะบอง (ก.พ.-มี.ค.) ในเดือนนี้อากาศจะเริ่มคลายหนาว และเริ่มเปลี่ยนไปสู่ฤดูร้อนในช่วงหลังของเดือน ประเพณีสำคัญคืองานก่อเจดีย์ทราย โดยจะก่อทรายเป็นรูปจำลองเขาพระสุเมรุ ทำยอดซ้อนเป็น ๕ ชั้น พม่าเคยจัดประเพณีนี้ในยุคราชวงศ์ ปัจจุบันไม่นิยมจัดแล้ว ตามตำนานกล่าวว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่เริ่มมีการสร้างเจดีย์พระเกศธาตุหรือพระเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งตกในปีมหาศักราช ๑๐๓ (พม่าถือว่าปีนี้เป็นปีที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้)ชาวพม่าจึงกำหนดเดือนดะบองเป็นเดือนสำหรับงานบูชาเจดีย์ชเวดากองด้วยเช่นกัน เดือนดะบองนี้ถือเป็นเดือนสุดท้ายของปีตามศักราชพม่า

ในการกำหนดวันประเพณีเป็นวันหยุดราชการนั้น ทางรัฐบาลกำหนดไว้เพียงบางวัน ได้แก่ วันสงกรานต์ ในเดือนดะกู จัดราววันที่ ๑๓ - ๑๗ เมษายนของทุกปี, วันรดน้ำต้นโพธิ์ หรือ วันพุทธะ ในวันเพ็ญของเดือนกะโส่ง ตรงกับวันวิสาขบูชาของไทย, วันธรรมจักร ในวันเพ็ญของเดือนหว่าโส่ ตรงกับวันอาสาฬหบูชาของไทย, วันอภิธรรม ในวันเพ็ญของเดือนดะดีงจุ๊ต ตรงกับวันออกพรรษาของไทย และวันตามประทีป ในวันเพ็ญของเดือนดะส่องโมง ตรงกับวันลอยกระทงของไทย
สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ ในอดีตนั้นงานประเพณีสิบสองเดือนของพม่าจะรวมเอาการบูชานัตหรือผีหลวงไว้ด้วย โดยจัดกันในเดือนเก้า(เดือนนะด่อ) ในระยะหลังได้เปลี่ยนเป็นงานเทิดเกียรติกวี อย่างไรก็ตามชาวบ้านก็ยังคงรักษาพิธีบูชาผีนัตไว้ และยังจัดงานใหญ่กันในเดือนหว่าข่อง(เดือนห้า)

อาหารพื้นเมือง อาหารเช้าที่พม่าเรียกว่า โมมิงกะ มีลักษณะคล้ายขนมจีนของบ้านเรา นอกจากนี้ มีอาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อ เช่น บะระฉ่องซึ่งโดดเด่นด้วยรสชาติที่เผ็ดจัด ขนมพื้นเมืองต่างๆ เช่น มะขามอัดเป็นแผ่นบางๆ มะนาวดองแบบแช่อิ่ม เป็นต้น โดยนักท่องเที่ยวสามารถหาซื้ออาหารเหล่านี้ได้ตามตลาด ร้านอาหารทั่วไปหรือ ภัตตาคารภายในที่พักในพม่าของท่าน

การแต่งกาย ที่เห็นได้ชัดอีกสิ่งหนึ่งก็คือการแต่งกาย ในอดีตแม้พม่าจะเคยเป็นอาณานิคมของตะวันตกมากว่าศตวรรษก็ตาม แต่ชาวพม่าก็ยังคงวิถีชีวิตเดิมไว้ได้มาก ผู้ชายยังนิยมนุ่งโสร่ง ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ทั้งยังชอบสวมรองเท้าแตะ และทาแป้งตะนาคา

ข้อควรทราบก่อนเดินทาง
1. การขอวีซ่า: คนไทยที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดาจะต้องยื่นขอวีซ่า จากสถานทูตพม่าก่อนเดินทาง โดยทั่วไปมีอยู่ 3 ประเภท คือ Tourist Visa: อยู่ในพม่าได้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ค่ะ Business Visa: อยู่ในพม่าได้นานถึง 10 สัปดาห์ และ Entry Visa: จะอยู่ในพม่าได้ 4 สัปดาห์เช่นกันสำหรับผู้ที่ประสงค์จะอยู่ในพม่าเกิน 4 สัปดาห์ ท่านจะต้องยื่นเรื่องขอ Stay Permit จากกระทรวงตรวจคนเข้าเมือง ของพม่าก่อนทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ที่อยู่ในพม่าเกินกว่า 4 สัปดาห์จะต้องยื่น Departure Form ต่อทางการพม่าก่อนที่จะเดินทางออกนอกพม่า
2. เครื่องแต่งกาย ศาสนสถานในพม่าทุกแห่ง ห้ามสวมกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้นเข้าไป สุภาพสตรีสวมกางเกงขายาวได้ บางแห่งจะมีบริการเช่าผ้าถุงหรือโสร่ง สวมทับกางเกงขาสั้นหรือกระโปรงสั้น รวมทั้งยังต้องถอดหมวก ถอดแว่นดำก่อนที่จะเข้าไปด้วย
3. รองเท้า ทุกคนต้องถอดรองเท้าทุกชนิดก่อนเข้าเขตศาสนสถาน ตั้งแต่รั้วด้านนอก ถุงเท้า ถุงน่องก็ห้ามใส่เข้าไป ต้องเดินเท้าเปล่า และเป็นธรรมเนียมที่เคร่งครัดมากแต่สมัยโบราณ หากฝ่าฝืนชาวพม่าจะเข้ามาตักเตือนด้วยความไม่พอใจครับ
4. การถ่ายรูป วีดีโอ บางแห่งจะต้องเสียค่าธรรมเนียม บางแห่งห้ามถ่าย เช่น พิพิธภัณฑ์ย่างกุ้ง ต้องฝากกล้องเอาไว้กับเจ้าหน้าที่ก่อนจะเข้าไป
5. ศาสนสถาน บางแห่งอาจห้ามสุภาพสตรีเข้าไปในเขตหวงห้าม เช่น ห้ามขึ้นไปปิดทองที่องค์พระมหามุนี มัณฑะเลย์ หรือที่องค์พระธาตุอินทร์แขวน(ไจก์ทิโย) หรือที่เขตห้ามเข้าองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากองและองค์พระเจดีย์ชเวซิกอง
6. เงินสด โดยทั่วไปจะไม่รับเงินบาทไทย ให้แลกกับไกด์ท้องถิ่นหรือบริษัททัวร์ได้ และถ้าแลกกับธนาคารจะได้อัตราทางการ แพงกว่าที่แลกกับบริษัททัวร์ หรือร้านค้าใหญ่มากหลายเท่าตัว ข้อควรระวัง อย่าแลกเงินกับชาวบ้านที่เข้ามาขอแลก เพราะอาจจะได้รับเงินปลอม เงินที่ยกเลิกไปแล้ว และถูกตำรวจจับอีก
7. เครื่องประดับ ของมีค่าต่างๆควรติดตัวไปให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพราะจะเกิดความยุ่งยาก ในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรเวลาเข้าเมือง และต้องแสดงว่าอยู่ครบเวลาจะเดินทางกลับจากพม่า หากอยู่ไม่ครบต้องเสียภาษีทันที เพราะศุลกากรพม่าจะถือว่านำไปขายต่อให้กับคนพม่า
นอกจากนี้ยังเป็นภาระในการดูแลรักษา ล่อตาล่อใจมิจฉาชีพอีกด้วย
8. ยารักษาโรค ควรนำไปให้พร้อมและเพียงพอตามระยะเวลาเดินทาง เพราะในพม่า การแพทย์ สุขอนามัย และยารักษาโรค ยังขาดแคลนและไม่ทันสมัยในกรุงย่างกุ้งมีสถานพยาบาลที่ทันสมัยไม่กี่แห่ง และเหมาะเพียงการรักษาพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น ผู้เดินทางไปพม่าควรเตรียมยา เช่น ยาแก้ไข้หวัด ยาแก้ท้องเสีย และยาประจำตัวไปด้วย และควรเลือกรับประทานอาหารที่สะอาด
9. วัตถุโบราณ (Antique) บางประเภทเป็นสิ่งต้องห้ามจำหน่ายและนำออกนอกประเทศ ควรตรวจสอบให้ดีก่อนซื้อ และถ้าซื้อต้องมีใบเสร็จและใบอนุญาตนำออกอย่างถูกต้องจากทางร้านค้า รวมทั้งสินค้าอัญมณีบางชนิดด้วย หากไม่แน่ใจ ไม่มีความรู้ และความเชี่ยวชาญควรงดเว้นการซื้อ
10. ระบบการจราจร ในพม่ากำหนดให้ขับรถชิดเลนขวาตรงข้ามกับไทย เพราะฉะนั้นเวลาข้ามถนน
ต้องดูให้ดีและรอบคอบ
11. หญิงบริการ พม่าเป็นประเทศสังคมนิยมปกครองโดยรัฐบาลทหาร ทั้งยังมั่งคั่งไปด้วยศิลปวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตของชาวบ้านผู้รักสงบและสันโดษ จึงเป็นการไม่เหมาะที่จะถามหาหญิงบริการ เพราะกฎหมายพม่ารุนแรงจับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

เมืองสำคัญและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆเปียงมะนา ( Pyanmana) เมืองหลวง (เนปิดอย์)
ที่ตั้งของเมืองเปียงมะนาอยู่ห่างจากย่างกุ้งไปทางเหนือราว 244 ไมล์ และเป็นจุดตัดของถนนสายหลัก 2 เส้น ซึ่งเชื่อมพม่าตอนเหนือกับตอนใต้เข้าด้วยกัน รวมถึงเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่ใช้กันมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 อีกทั้งยังเชื่อมกับเส้นทางรถไฟที่ติดต่อไปยังตอนใต้ของจีน
อย่างไรก็ดี ศูนย์กลางที่รัฐบาลพม่าใช้ก่อตั้งเมืองหลวงใหม่จริงๆ อยู่ห่างจากเปียงมะนาไปทางตะวันตกราว 7 ไมล์ เป็นจุดที่เรียกว่า “ไจ้เปี่ย” (Kyep Pyay) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากนายพลอองซาน เคยใช้เป็นชัยภูมิสู้รบจนได้เอกราชจากอังกฤษ ทั้งยังเป็นพื้นที่ที่พรรคคอมมิวนิสต์เคยใช้ปักหลักต่อสู้กับรัฐบาลพม่าในอดีตตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 รัฐบาลพม่าได้ย้ายเมืองหลวงไปที่
เปียนมานาตั้งอยู่ใน "เขตพรมแดน" ของบรรดารัฐของชนชาติส่วนน้อยต่างๆ ตามแนวชายแดน ซึ่งนับว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศทางการพม่าประกาศอย่างชัดเจนครั้งแรกในวันจันทร์ (7 พ.ย.) เกี่ยวกับการย้ายที่ทำการรัฐบาลออกจากกรุงย่างกุ้ง ไปสู่ "เมืองหลวงใหม่" ที่เมืองเปียนมานา (Pyanmana) ห่างขึ้นไปทางเหนือกว่า 300 ก.ม. ถัดจากเมืองตองอู ค่อนทางเกือบจะถึงเมืองมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของประเทศ
พระมหาเจดีย์ชเวดากองพระมหาเจดีย์ชเวดากอง เป็นมหาเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศพม่าอายุเก่าแก่กว่าสองพันห้าร้อยปี เพื่อเสริมบารมีในสถานที่ที่เปรียบเสมือนได้กับจิตวิญญาณของชาวย่างกุ้ง และชาวพม่าสถานที่แห่งนี้มี ลานอธิฐาน จุดที่บุเรงนองมาขอพรก่อนออกรบ รอบพระเจดีย์มีประดิษฐกรรมที่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ พระเจดีย์นี้ได้รับการบูรณะและต่อเติมโดยกษัตริย์หลายรัชกาลองค์เจดีย์ห่อหุ้มด้วยแผ่นทองคำทั้งหมดน้ำหนักยี่สิบสามตันภายในประดิษฐานเส้นพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวนแปดเส้นและเครื่องอัฐะบริขารของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนทั้งสามพระองค์ บนยอดประดับด้วยเพชรพลอยและอัญมณีต่างๆ จำนวนมาก และยังมีเพชรขนาดใหญ่ประดับอยู่บนยอด บริเวณเจดีย์จะได้ชมความงามของวิหาร สี่ทิศ ซึ่งทำเป็นศาลาโถงครอบด้วยหลังคาทรงปราสาท ซ้อนเป็นชั้นๆ งานศิลปะและสถาปัตยกรรมทุกชิ้นที่รวมกันขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของพุทธเจดีย์ล้วนมีตำนานและภูมิหลังความเป็นมาทั้งสิ้นชมระฆังใบใหญ่ที่อังกฤษพยายามจะเอาไปแต่เกิดพลัดตกแม่น้ำย่างกุ้งเสียก่อนอังกฤษกู้เท่าไหร่ก็ไม่ขึ้นภายหลังชาวพม่า ช่วยกันกู้ขึ้นมาแขวนไว้ที่เดิมได้ จึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีซึ่งชาวพม่าถือว่าเป็นระฆังศักดิ์สิทธิ์ ให้ตีระฆัง 3 ครั้งแล้วอธิษฐานขออะไรก็จะได้ดั่งต้องการ เป็นเจดีย์ที่มีความสวยงดงามและยิ่งใหญ่สมเป็นมหาเจดีย์ที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งจะมีทั้งผู้คนชาวพม่าและชาวต่างชาติมากมายพากันเดินทางมาเที่ยวชมและนมัสการทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างไม่ขาดสาย โดยค่าเข้าชมของชาวต่างชาตินั้น ราคาถึง 20 เหรียญสหรัฐ

พระเจดีย์ชเวมอดอร์ (Shwe Mordore) หรือพระธาตุมุเตา ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในหงสาวดี ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหงสาวดี เป็นสัญลักษณ์ยืนยันความ เจริญรุ่งเรืองในอดีต อีกทั้งยังเป็นเจดีย์คู่บ้านคู่เมืองของกรุงหงสาวดีมาช้านาน เป็นเจดีย์เก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองและเป็น 1 ใน 5 มหาบูชาสถาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า เป็นเจดีย์ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ของไทย เคยมาสักการะ เจดีย์องค์นี้เป็นศิลปะที่ผสมผสานระหว่างศิลปะพม่าและศิลปะของมอญได้อย่างกลมกลืน พระเจดีย์สูง 377 ฟุต สูงกว่าพระเจดีย์ชเวดากอง 51 ฟุต มีจุดอธิษฐานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ตรงบริเวณยอดฉัตร ซึ่งยอดอของเจดีย์ได้หักและตกลงมาจากการเกิดแผ่นดินไหว ในปี พ.ศ. 2473 ปัจจุบันส่วนของยอดที่หักลงมานั้นก็ยังอยู่ในสภาพเดิม อยู่บริเวณฐานของพระธาตุ ซึ่งน่าอัศจรรย์ใจที่ส่วนของยอดเจดีย์ที่หักลงมาจากที่สูงขนาดนั้นไม่แตก จึงเป็นที่ร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธ์โดยแท้ ซึ่งชาวมอญและชาวพม่าเชื่อกันว่าเป็นจุดที่ศักดิ์สิทธิ์มาก และเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงไม่เสื่อมคลาย นอกจากนั้นแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่พระเจ้าหงสาลิ้นดำ ใช้เป็นที่เจาะพระกรรณ (หู) ตามพระราชประเพณีโบราณเพื่อทดสอบความกล้าหาญก่อนขึ้นครองราชย์
พระธาตุไจ้ทีโย ถ้าแปลเป็นภาษาไทย จะแปลว่า “ก้อนหินทอง” หรือที่ส่วนใหญ่เราจะเรียกว่า

พระธาตุอินทร์แขวน” ระยะทางจะห่างจากเมืองย่างกุ้งประมาณ 195 กิโลเมตร อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร ลักษณะเป็นเจดีย์องค์เล็ก ๆ สูงพระธาตุอินทร์แขวนเพียง 5.5 เมตร ตั้งอยู่บนก้อนหิน บนยอดเขาอย่างหมิ่นเหม่ มีพระเกศาธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ภายในพระเจดีย์ ตามคติการบูชาพระธาตุประจำปีเกิดของชาวล้านนา พระธาตุอินทร์แขวนนี้ให้ถือเป็นพระธาตุปีเกิดของปีจอ แทนพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ พระธาตุอินทร์แขวนนั้นตั้งอยู่เชิงหน้าผา ซึ่งหากมองจากทางด้านล่างก็จะดูคล้ายกับลอยอยู่เหนือหน้าผา ราวกับพระอินทร์นำไปแขวนไว้กลางอากาศ การเดินทางขึ้นไปยังบนยอดเขานั้นจะต้องนั่งรถกระบะ 6 ล้อขึ้นไป ซึ่งเป็นกฎข้อบังคัญของประเทศพม่าเลย ห้ามรถอื่น ๆ ขึ้นเด็ดขาด ใครจะไปจะมาก็ต้องลงรถที่บริเวณ คิมปูแคมป์ และก็ต้องเปลี่ยนเป็นรถ 6 ล้อ แม้แต่ผู้นำประเทศก็ต้องปฏิบัติตาม อาจจะเป็นเพราะเรื่องของความปลอดภัย เพราะทางที่ขึ้นนั้นเป็นถนนเลนเดียว สวนไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาลงหรือขึ้นนั้นก็จะต้องให้รถทางใดทางหนึ่งนั้นลงมาก่อน ถึงจะขึ้นได้ ก็จะสลับกันไป เมื่อถึงบริเวณบนเขาแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงดี เพราะจะต้องเดินเท้าขึ้นเขาอีกประมาณ 4 กิโลเมตร แต่ก็จะมีบริการ นั่งเสลี่ยง ซึ่งขอแนะนำว่าควรนั่งเสลี่ยงดีกว่า ถึงแม้ว่าจะดูแล้วราคาแพงไปซักนิดก็ตาม คือคนละ 800 บาท เพื่อที่จะออมแรงไว้เดินเท้าเปล่าไปสักการะพระธาตุ เมื่อถึงที่หมายบนยอดเขา ดูแล้วหลายต่อ แต่รับรองได้ว่า หากขึ้นไปเห็นแล้วจะหายเหนื่อยแน่นอน กับความพิศวง และความศรัทธา และชาวพม่าจะมีความเชื่อว่าถ้าผู้ใดได้มานมัสการพระธาตุอินทร์แขวนนี้ครบ 3 ครั้ง ผู้นั้นจะมีแต่ความสุขความเจริญ พร้อมทั้งขอสิ่งใดก็จะได้สมดั่งปรารถนาทุกประการ สามารถนั่งสมาธิหรือสวดมนต์ได้ตลอดคืน สำหรับท่านที่ต้องการนมัสการกลางแจ้งเป็นเวลานาน

พระราชวังบุเรงนองเมืองหงสาวดี หรือชาวพม่าจะเรียกว่า เมืองพะโค หรือ Bago ในภาษาอังกฤษ เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ทั้งทางด้านพระพุทธศาสนา และประวัติศาสตร์ชาติพม่า เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของอาณาจักรมอญในอดีต มีเจดีย์และวัดเก่ากว่านับพันปี
พระราชวังบุเรงนอง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อดีในนามผู้ชนะสิบทิศ เคยเป็นที่ประทับของพระนางสุพรรณกัลยา และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งต้องตกเป็นเชลยศึก เมื่อต้องเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า แต่ปัจจุบัน พระราชวังแห่งนี้ได้เหลือเพียงแต่ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ และถูกสร้างจำลองพระราชวังและตำหนักต่าง ๆ ขึ้นมาใหม่โดยอ้างอิงจากพงศาวดาร และความเข้าใจตามข้อมูลของกรมศิลปกรของรัฐบาลพม่า ภายในมีห้องบรรทมและพระที่นั่งผึ้ง (จำลอง) และพระที่นั่งสิงค์ (จำลอง)

พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว พระพุทธรูปนอนที่ที่มีพุทธลักษณะที่สวยงามในแบบของมอญ พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียวซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวพม่า ถือได้ว่าเป็นพระนอนที่งดงามที่สุดของพม่า อีกทั้งตลอดสองข้างทางของบริเวณวัด ท่านสามารถที่จะเลือกหาเครื่องไม้แกะสลักที่มีให้เลือกมากมาย ราคาไม่แพง หรือจะเป็นไม้หอมที่เป็นไม้หายากมีอยู่เพียงไม่กี่ประเทศที่มี เจดีย์ไจ๊ปุ๋น สร้างในปี 1476 ก่อเป็นแกนทึบสี่เหลี่ยมอยู่ตรงกลาง รอบ ๆ มีพระพุทธรูปนั่งสูง 30 เมตร ประดิษฐานอยู่ทั้งสี่ทิศ แทนองค์พระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ในภัทรกัป สร้างขึ้นโดยสตรีสี่พี่น้องที่มีพุทธศรัทธาสูงส่งและต่างให้สัตย์สาบานว่าจะรักษาพรหมจรรย์ไว้ชั่วชีวิต ไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ ต่อมา 1 ใน 4 สาวหนีไปแต่งงาน ร่ำลือกันว่าทำให้พระพุทธรูปองค์นั้นเกิดรอยร้าวขึ้นทันที ซึ่งต่อมามีการบูรณะเจดีย์เมื่อปี พ.ศ. 2019

เมืองสิเรียม ห่างจากเมืองย่างกุ้งประมาณ 45 กิโลเมตร ชมความแปลกตาของเมืองสิเรียมที่เคยเป็นเมืองท่าของโปรตุเกสมาก่อน ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำย่างกุ้งที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำอิระวดี

พระเจดีย์เยเลพญา เจดีย์เกาะกลางน้ำอายุนับพันปี ต้องนั่งเรือพายข้ามไป ประมาณ 10 นาที เป็นที่เคารพนับถืออย่างมากของชาวเมืองสิเรียมพระเจดีย์เยเลพญา
พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี พระพุทธรูปปางไสยาสน์ มีความยาวถึง 55 เมตร สูง 16 เมตร ซึ่งพระบาทมีภาพมงคล 108 ประการ เป็นรอยพระบาทที่ซ้อนทับกัน และตามคติทางพุทธศาสนาเถรวาทแล้ว เชื่อว่าอดีตพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์จะเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้

เจดีย์ซูเลย์ เป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่างกุ้ง สร้างในสมัยที่อังกฤษยังปกครองพม่าอยู่ ถ้าเปรียบแล้ว เจดีย์ซูเลนี้ ก็เหมือนกับหัวใจของเมืองย่างกุ้ง เพราะชาวอังกฤษได้วางผังเมืองให้เจดีย์นี้ เป็นศูนย์กลาง ฝั่งตรงข้ามของเจดีย์ซูเลมีสวนสาธารณะมหาบัณฑุละ ภายในสวนมีอนุสาวรีย์อิสระภาพ รูปเสาแหลมสูง 40 เมตร ล้อมรอบด้วยเสาหินสูง 9 เมตร 5 ต้น แทนรัฐที่ปกครองตนเองกึ่งอิสระ 5 รัฐ คือ ฉาน กะฉิ่น กะยิน(กะเหรี่ยง) กะยา และชิน บริเวณใกล้เคียงก็จะมีสถานที่ราชการที่สำคัญในอดีต ก่อนที่พม่าจะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองอื่น พระเขี้ยวแก้ว

วัดพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วจำลอง ที่ได้มาจากอาณาจักรน่านเจ้า ที่เคยนำมาประดิษฐานที่พุทธมณฑล 

วัดกุโสดอ (Kuthodaw)ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ทำสังคยานาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 พุทธสถานสำคัญที่ถูกบันทึกไว้ในกินเนสบุ๊คว่ามีแผ่นจารึกพระไตรปิฏก ทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สะพานอูเป็ง สะพานไม้สักที่มีความยาวที่สุดในโลกแห่งมัณฑะเลย์

เมืองพุกาม
 ดินแดนแห่งเจดีย์หมื่นองค์อย่างเมืองพุกามที่มีความสำคัญด้านพุทธสถานอย่างหาที่เปรียบมิได้นั้น นับเป็นดินแดนอารยธรรมที่เปี่ยมไปด้วยพระเจดีย์และวัดวาอารมอันศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม ทั้ง พระเจดีย์ชเวซิกอง วัดถ้ำจันสิทธา วัดทิโลมินโล วิหารนันปยะ เจดีย์อานันทะ เจดีย์มิงกาลา เจดีย์กูบยางคยี และอีกหลากหลายความงามแห่งศิลปกรรมที่มิอาจพรรณนาได้หมด เพราะแต่ละพุทธสถานก็มีความงดงามที่ยิ่งใหญ่จากฐานรากวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีความเป็นมาที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าพุทธสถาน ณ แห่งหนตำบลใดในดินแดนพม่าแห่งนี้ เชื่อได้เลยว่า ความขลังและความศักดิ์สิทธิ์จะสามารถประทับใจผู้มาเยือนให้จดจำไว้อย่างมิรู้ลืม

ตลาดสก็อต (Scot Market) หรือ ตลาดโบฉกอองซาน (Bogyoke Aung San) เป็นตลาดเก่าแก่ของชาวพม่าสร้างขึ้นโดยชาวสก๊อตในสมัยที่ยังตลาดสกีอตเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เป็นลักษณะอาคารเรียงต่อกันหลายหลัง สินค้าที่จำหน่ายในตลาดแห่งนี้มีหลากหลายชนิด สามารถซื้อหาของที่ระลึกพื้นเมืองได้มากมายในราคาถูก เช่น เครื่องเงิน ที่มีศิลปะผสมระหว่างมอญกับพม่า ภาพวาด งานแกะสลักจากไม้ อัญมณี หยก ผ้าทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป แป้งทานาคา (Thanakha)ผ้าปักพื้นเมืองและเครื่องเงิน เป็นต้น (หากซื้อสิ้นค้าหรืออัญมณีที่มีราคาสูงควรขอใบเสร็จรับเงินด้วย ทุกครั้ง เนื่องจากจะต้องแสดงให้ศุลกากรตรวจ) สำหรับชาวไทยแล้วอาจจะต้องใช้เวลาเดินที่ตลาดนี้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง

พระเจดีย์โบตะตอง
 ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรับพระเกศาธาตุก่อนที่นำไปบรรจุในพระเจดีย์ชเวดากอง เมื่อพระเกศาธาตุได้ถูกอัญเชิญขึ้นจากเรือ ได้นำมาประดิษฐานไว้ที่พระเจดีย์โบตะตองแห่งนี้ก่อน พระเจดีย์แห่งนี้ได้ถูก ทำลายในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ โดยมีความแตกต่างกับ พระเจดีย์ทั่วไปคือ ออกแบบให้ใต้ฐานพระเจดีย์มีโครงสร้างโปร่งให้คนเดินเข้าไปภายในได้ โดยอัญเชิญพระบรมธาตุไว้ในผอบทองคำให้ผู้คนได้เข้ามากราบไหว้มองเห็นได้ชัดเจน ส่วนผนังใต้ฐานเจดีย์ได้นำทองคำและของมีค่าต่างๆ ที่มีพุทธศาสนิกชนชาวพม่านำมาถวายแก่องค์พระเจดีย์ มาจัดแสดงไว้

วัดพระหินขาว หรือที่มีชื่อเรียกอย่างทางการว่า “Lawka Chantha Abaya Labamuni Buddha Image” พระหินขาวนี้สร้างจากหินขาวที่มีลักษณะมันวาว สีขาวสะอาดและไม่มีตำหนิ สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต หนัก 600 ตัน เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์ และศรีลังกายกขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์ หมายถึงการไล่ศัตรูและประทานความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังมีการนำหินที่เหลือมาสลักเป็นพระพุทธบาทซ้าย-ขวา ประดิษฐานอยู่ บริเวณด้านหลังพระพุทธรูปด้วย

พระเจดีย์ชเวซิกอง (Shwezigon Pagoda)พระเจดีย์ชเวซิกอง ( Shwezigon Pagoda ) อันศักดิ์สิทธ เจดีย์องค์ใหญ่ ที่มีสีทองอร่ามตา เริ่มสร้างขึ้นในปี พ.ศ 1627 โดยพระเจ้าอโนรธามหราช แต่สร้างไม่เสร็จ จนกระทั่งมาสร้างเสร็จในรัชสมัยของพระเจ้าจันสิธาเมื่อปี พ.ศ 1656 เชื่อกันว่าภายในบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งรูปแบบถาปัตยกรรมของพระ เจดีย์ชเวซิกองนี้ ต่อมาเป็นแบบอย่างของการสร้างเจดีย์ของประเทศพม่า ในยุคต่อ ๆ มา

วัดถ้ำจันสิทธา (Kyanzittha Umin ) ซึ่งมีลักษณะอาคารเตี้ยก่อด้วยอิฐอยู่ใต้ดิน ครึ่งหนึ่งบนพื้นดินครึ่งหนึ่ง พบกับภาพเขียนโบราณซึ่งวาดขึ้นในระหว่างพุทธ ศตวรรษที่ 16-19 ที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าจันสิทธา

วัดทิโลมินโล (Htilominlo Pagoda ) ที่สันนิษฐานว่า น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า “ไตร โลกมงคล “ สร้างโดยพระเจ้าติโลมิโล เมื่อปี พ.ศ 1761 ซึ่งวัดทิโลมินโล (Htilominlo Pagoda )ได้รับการยกย่องว่ามีความ สวยงามมากทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะปูนปั้นบริเวณฐานด้านนอก วิหารนันปยะ ( Nanpaya ) ตามตำนานกล่าวว่าเป็นที่ประทับของพระเจ้ามนูหะ ซึ่งพระเจ้า อโนรถา ทรงจับเป็นเชลยมาจากเมือง สะเทิน สร้างด้วยอิฐและสอดินแต่พื้นปูด้วยหิน มี แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและมีมุขยื่นยาวออกไปทางทิศตะวันออก ใกล้กับแท่นบูชา ภายในอาคารมีเสาหิน 4 เสา และบนแต่ละด้านของเสาก็สลักลายดอกไม้รูปสามเหลี่ยมและ เทวรูปพระพรหมทรงถือดอกบัวอยู่ในแต่ละหัตถ์ งานตกแต่งภายนอกอาคารที่น่าสนใจยิ่ง คือ บานหน้าต่างเป็นช่องปรุทำจากศิลา อันเป็นแบบอย่างและกรรมวิธีของงานงางพุกามใน ส่วนที่เชื่อว่ารับวัฒนธรรมมอญ ทั้งนี้รวมถึงลวดลายที่ประดับกรอบของหน้าต่างและส่วน อื่นของผนังด้วยพระเจดีย์ธรรมยาจี สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้านรถุ (พ.ศ. 1710 – 1713) เจดีย์อานันทะ (ชื่อดังเดิมคือ อนันตปัญญา) เป็นวิหารทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสมีมุขเด็จ ออกไปเท่ากันทั้ง 4 ด้านแต่ละด้านมีซุ้มคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปทรงสูง 10 เมตร ใหญ่โตสูงสง่าและเป็นศิลปะพระพุทธรูปต้นแบบสมัยพุกามดั้งเดิม เจดีย์สัพพัญญู (THATBYINYU) เป็นวิหารสูงที่สุดในพุกามทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีความสูง 201 ฟุต เป็นวัดประจำรัชกาลพระเจ้าอลองสินธสร้างเลียนแบบวัดในประเทศอินเดีย สูงห้า ชั้นโดยชั้นที่สี่เป็นที่ปดิษฐานพระไตรปิฎกฉบับต้นแบบและชั้นที่ห้าเป็นองค์พระสถูปอัน ศักดิ์สิทธิ์ พระเจดีย์กูบยางคยี (GUPYAUKKYI PAGODA) ที่สร้างโดยพระโอรสของพระเจ้าจันสิธะในราวปี พ.ศ. 1656 พระเจดีย์แห่งนี้สร้างแบบศิลปะของพยูหรือพุกามตอนต้น ภายใน พระเจดีย์ท่านจะได้ชมจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามที่สุดของเมืองพุกามที่ยังคง หลงเหลืออยู่

พระเจดีย์มิงกาลา ชมทัศนียภาพของอาณาจักรพุกามจากมุมสูง จากสถานที่ แห่งนี้ ท่านจะได้พบกับพระเจดีย์น้อยใหญ่จำนวนมากมายที่เป็นที่มาอาณาจักรพุกาม ดินแดนแห่งอาณาจักรสี่พันองค์ของชื่อ “ดินแดนแห่งพระจดีย์สี่พันองค์” พระอาทิตย์ตกริมฝังแม่น้ำอิรวดีที่พระเจดีย์บุพะยา (BUPAYA PAGODA) ซึ่งจะทำให้ท่านประทับใจมิรู้ลืม ช้อปปิ้งสินค้าพื้นเมืองจำพวกเครื่องเขิน (LACQUERWARE ) ในบริเวณหมู่บ้าน พุกามใหม่ (New Bagan) ซึ่งดำเนินกิจการติดต่อนานกว่า 1,000 ปี

เจดียักษ์มิงกุนมิงกุน มิงกุนตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำเอยาวดี ทางตอนบนสุดของทิวเขา ที่โอบล้อมเมืองสกายน์เอาไว้ ที่นี่มีระฆังใบใหญ่ที่สุดในโลก ที่ยังคงสภาพดีเยื่ยม กับพระเจดีย์ขนาดมหึมา ที่ยังสร้างไม่เสร็จอีกองค์หนึ่ง ตั้องยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของเขามัณฑะเลย์ ห่างไปกว่า 10 กิโลเมตรมิงกุน ไม่ใช่ราชธานี ที่ประทับของกษัตริย์อย่างอินน์วะ กับอมรปุระ แต่ก็มีความสำคัญในตัวเอง และมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาก หมู่บ้านแห่งนี้ เข้ามาได้โดยทางน้ำเท่านั้น โดยจะมีเรือ อกจากมัณฑะเลย์ทุกวัน และใช้เวลาเดินทาง ราวหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถ้าคุณไม่ได้โดยสารเรือกลไฟเยาวดี จากมัณฑะเลย์มายังปะกั่น อย่างน้อย ก็น่าจะลองนั่งเรือ สำหรับการเดินทาง ในช่วงนี้ดู จะได้ชมวิถีชีวิต ของชาวบ้านบนลำน้ำสายนี้ จากมยิตจีนากับปะเต่งลงมายังย่างกุ้ง เมืองมิงกุน “เจดีย์ยักษ์มิงกุน”เจดีย์องค์นี้ถ้าสร้างสำเร็จก็จะมีความสูงถึงราว 165 เมตร และจะเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่ สุดในประเทศพม่า อย่างไรก็ดีเมื่อพระเจ้าปะดุงสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. 2362 เจดีย์องค์นี้ก็ถูกทอดทิ้งไม่มีการสร้าง คงเหลือไว้เป็นกองอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากนั้นชม “ระฆังยักษ์มิงกุน” ซึ่งพระเจ้าปะดุงทรงสร้างไว้ เป็นระฆังสัมฤทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศพม่า น้ำหนักประมาณ 90 ตัน ระฆังนี้สูง 4 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่ปากกว้างราว 5 เมตร นับว่าเป็นระฆังที่แขวนอยู่ซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก

พระเจดีย์สินพยุเม ซึ่งพระเจ้าพะคยีดอทรางสร้างใน พ.ศ. 2359 ก่อนที่จะเสด็จขึ้นเสวยราชย์ เจดีย์องค์นี้เปรียบเสมือนพระเจดีย์จุฬามณีซึ่งตั้งอยู่เหนือเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องไตรภูมิในพุทธศาสนา พระเจ้าพะคยีดอทรงสร้างอุทิศแด่พระชายาคือ เจ้าหญิงสินพยุเมที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว แม้จะถูกทำลายโดยแผ่นดินไหว แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมและปัจจุบันยังคงอยู่ในสภาพดี มัณฑะเลย์ เคยเป็นราชธานีของเขตพม่าบน แต่กลับมีอายุเก่าแก่ ไม่ถึง 150 ปี ดี และเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่เมือง ของพม่าที่ยังคง ใช้ชื่อเดิมเรื่อยมาโดยไม่มีการเปลี่ยนคำเรียกหาแต่อย่างใด ชื่อ มัณฑะเลย์ ฟังดูเก่าแก่โบราณพอๆ กับ แม่น้ำเอยาวดี (อิระวดี) ที่ทอดสาย ไหลเอื่อยผ่านตัวเมืองแห่งนี้ เสน่ห์ของมัณฑะเลย์ อยู่ที่การเป็นราชธานีแห่งสุดท้ายของ พระราชวงศ์พม่า หมู่สถูปเจดีย์ ที่มีให้เห็นอยู่ทั่ว ทุกหนทุกแห่ง และผู้คนที่มีชีวิตชีวา เปี่ยมไปด้วย น้ำใจไมตร มัณฑะเลย์ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงย่างกุ้ง ห่างขึ้นมา 620 กิโลเมตร และอยู่สูง เหนือระดับน้ำทะเล 80 เมตร ชาวพม่าถือว่า สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและพุทธศาสนา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ของพม่า คือมัณฑะเลย์ใจกลางเมืองมี ตลาดเซโจ เป็นศูนย์กลาง การค้า ในเขตพม่าบนช่างฝีมือของที่นี่ ผลิตงานฝีมือตามวิธีโบราณ ด้วยทอง เงิน หินอ่อน กับสิ่ว เส้นด้าย และหูกทอผ้า สองฝั่งน้ำเอยาวดี มีท่าเรือคั่นอยู่เป็นระยะ เรือขนข้าวขึ้นล่องผ่านไปมา ไม่ขาดสาย มัณฑะเลย์ เคยเป็นราชธานีของเขตพม่าบน แต่กลับมีอายุเก่าแก่ไม่ถึง 150 ปีดี และเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่เมืองของพม่า ที่ยังคง ใช้ชื่อเดิมเรื่อยมาโดยไม่มีการเปลี่ยนคำเรียกแต่อย่างใด ชื่อมัณฑะเลย์ ฟังดูเก่าแก่โบราณพอๆ กับแม่น้ำเอยาวดี (อิระวดี) ที่ทอดสายไหลเอื่อยผ่านตัวเมืองแห่งนี้ เสน่ห์ของมัณฑะเลย์ อยู่ที่การเป็นราชธานีแห่งสุดท้ายของพระราชวงศ์พม่า

หมู่สถูป -เจดีย์ที่มีให้เห็นอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง และผู้คนที่มีชีวิตชีวาเปี่ยมไปด้วยน้ำใจ ไมตรีมัณฑะเลย์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงย่างกุ้ง ห่างขึ้นมา 620 กิโลเมตร และอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 80 เมตร ชาวพม่าถือว่าสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและพุทธศาสนา ทั้งในอดีตและปัจจุบันของพม่าคือมัณฑะเลย์ ใจกลางเมืองมี ตลาดเซโจ เป็นศูนย์กลางการค้าในเขตพม่าบน ช่างฝีมือของที่นี่ ผลิตงานฝีมือตามกรรมวิธีโบราณ ด้วยทอง เงิน หินอ่อน กับสิ่ว เจดีย์เจาตอจี (Kyauktawgyi Pagoda )เส้นด้าย และหูกทอผ้า สองฝั่งน้ำเอยาวดี มีท่าเรือคั่นอยู่เป็นระยะ เรือขนข้าวขึ้นล่องผ่านไปมา ไม่ขาดสาย สถานที่ท่องเที่ยวในมัณฑะเลย์เจดีย์เจาตอจี (Kyauktawgyi Pagoda ) หรือเรียกว่า วัดหินใหญ่ ภายในมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่แกะสลักจากหินอ่อนก้อนเดียว เนินเขามัณฑะเลย (Mandalay Hill ) มีความสูง 236 เมตร ซึ่งทางขึ้นเป็นบันไดที่มีหลังคาทอดตัวขึ้นสู่ยอดเขาทั้งหมด 1,729 ขั้น และศาลเล็ก ๆ ตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ มีอยู่หลายหลังที่เป็นผลงานของฤาษีอู่ขั้นตี่ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งบนยอดเขามีวิหารหลังใหญ่แห่งแรกที่บรรจุพระบรมธาตุสามองค์ ของพระพุทธเจ้าไว้ ท่านจะสามารถเห็นทัศนียภาพของตัวเมืองมัณฑะเลย์ ยามอาทิตย์อัสดงได้อย่างชัดเจน สะพาน อูเป็ง ( U Bien Bridge ) เป็นสะพานที่สร้างขึ้นจากไม้สักที่นำมาจาก พระราชวังในเมืองอังวะ ที่สร้างขึ้นเมื่อ 200 กว่าปี ที่แล้วมีความยาว 1.2 ก.ม

วัดมหากันดายงค์ ( Maha Gandayon Monastery ) ซึ่งเป็นวัดใหญ่ที่สุดของพม่าที่เมืองอมรปุระ ซึ่งในช่วงเพลจะมีภิกษุสงฆ์นับร้อยรูปเดินเรียงแถวด้วยอาการสำรวมเพื่อรับอาหาร

พระพุทธมหามุนี (Mahamui Pagoda )พระพุทธมหามุนี (Mahamui Pagoda ) หรือรู้จักกันในนามพระล้างหน้า ที่มีความงดงามตามศิลปกรรมพม่า ที่มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปสำริดปิดทอง ที่อย คู่บ้านคู่เมืองมาช้านานที่สร้างขึ้นราว ปี พ.ศ 2327 เป็นสถานที่ที่สำคัญรองจากพระธาตุเชเวดากองในกรุงย่างกุ้ง พระราชวังมัณฑะเลย์ของพระเจ้ามินดงและกษัตริย์ สีป่อ พระเจ้าแผ่นดินองค์สุดท้าย พระราชวังมัณฑะเลย์สร้างขึ้นสมัยพระราชามินดง Mindon ราชาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ภายหลังจากมีสงครามระหว่างพม่ากับอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2395เวลานั้นเมืองหลวงอยู่ที่ อมรปุระ Amarapura ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2325 พระราชามินดงต้องการที่จะหาที่ตั้งของเมืองหลวงที่จะสร้างใหม่หลังสงครามเพราะเมืองหลวงเก่าได้ซึ่งผ่านสิ่งร้ายๆมา ประกอบกับการยึดมั่นในหลักศูนย์กลางพุทธศาสนา และพระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานครบ 2,400 ปี จึงมีรับสั่งให้สร้างเมืองหลวงใหม่ให้เป็น "เมืองสีทอง" Golden City ได้ปรึกษากับพระโหราจารย์ และได้ศุภฤกษ์ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2400 โดยได้วางศิฤาฤกษ์ และต่อมาก็ตั้งผังเมือง โดยฝั่งทางตะวันตกนั้นได้นำชีวิตมนุษย์สังเวย โดยนำชาย หญิง และเด็กจำนวน 52 ชีวิต ฝังไว้ภายใต้เสาหลักเมือง เชื่อว่าวิญญาณของคนเหล่านี้จะปกป้องคุ้มครองเมือง การก่อสร้างเมืองเสร็จสมบูรณ์ในปี 2402 รวมระยะเวลาในการสร้าง 2 ปี เมืองสร้างเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส วัดได้ ประมาณ 2,030 เมตร ในแต่ละด้าน พระราชวังตั้งอยู่ตรงกลางจตุรัส มีกำแพงล้อมรอบโดยมีประตู 12 ด้าน ตามจักราศรีพระราชวังโดดเด่นด้วยหอสูง 78 เมตร ซึ่งตั้งเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามความเชื่อ เกี่ยวกับเรื่องไตรภูมิในพุทธศาสนา หลังคาสูงเจ็ดชั้นประดับด้วยทองคำเปลว โดยได้สร้างให้สมเกียรติ กับบัลลังค์สิงโตซึ่งใช้ในการประกอบพิธีกรรมสำคัญๆ เช่นพิธีKadaw เทิดพระเกียรติ ซึ่งจัดขึ้น 3 ครั้งต่อปี พระราชวังทั้งหมดทำจากไม้ซึ่งนำมาจากวังเดิมที่อมรปุระ พระราชวังตกแต่งด้วยไม้แกะสลักเป็นรูปตามเทพนิยาย รูปดอกไม้และสัญลักษณ์ทางโหราศาสตร์ มีหอนาฬิกาที่ทำจากไม้สักเพื่อเป็นที่สังเกตุการณ์ของทหารเพื่อระวังไฟไหม้ กษัตริย์มินดงได้สวรรค์คตในปี 2421 ต่อมาพระราชวังได้ถูกไฟไหม้วอดวาย ในปี 2488 รัฐบาลพม่าจึงได้บูรณะวังใหม

วัดชเวนันดอ (Shwenandaw)วัดชเวนันดอ (Shwenandaw) ซึ่งสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ลวดลายแกะสลักวิจิตร อ่อนช้อยทั้งหลังคา บานประตู และหน้าต่างอันเน้นรายละเอียดเกี่ยวกับพุทธประวัติ และทศชาติของพระพุทธเจ้าซึ่งความงดงามตามแบบศิลปะพม่าแท้ ๆ ภายในวัดมีพระพุทธรูปอันวิจิตรงดงามศิลปะพม่า

วัดอะตูมาชิ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน วัดนี้เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจำนวน 114 แห่งที่สร้างขึ้นใน รัชสมัยของพระเจ้ามินดง
ตลาดเซโจ เป็นศูนย์กลางการค้าในเขตพม่าบน ช่างฝีมือของที่นี่ ผลิตงานฝีมือตามกรรมวิธีโบราณ ด้วยทอง เงิน หินอ่อน กับสิ่ว เส้นด้าย และหูกทอผ้า ข้อมูลอื่นๆ

เนปีดอร์ เมืองหลวง ( Naypyidawบางครั้งสะกดเป็น Nay Pyi Taw) มีความหมายว่า "มหาราชธานี" เป็นเมืองศูนย์กลางการบริหารของสหภาพพม่า ตั้งอยู่ในหมู่บ้านจัตปแว (Kyatpyae) ทางทิศตะวันตกของตัวเมืองเปียนมานา (Pyanmana) ในเขตมัณฑะเลย์ สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาโดยรอบ
เมืองนี้เป็นเมืองเดียวของประเทศพม่าที่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่เมืองหลวงเก่าย่างกุ้งจะไฟฟ้าดับอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เมืองนี้อยู่ห่างย่างกุ้งไปทางเหนือประมาณ 320 กิโลเมตรไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งทางการพม่านั้นต้องการ เมืองนี้เริ่มมีการสร้างสิ่งต่าง ๆ บ้างแล้ว เช่น อพาร์ตเมนท์ ซึ่งคนพอมีเงินที่จะมาซื้ออยู่อาศัย เริ่มมีประชาชนอพยพมาอาศัยอยู่หลายหมื่นคนแต่เมืองหลวงแห่งนี้ ยังไม่มีโรงเรียน โรงพยาบาล เปรียบเสมือนเมืองทหาร ซึ่งกำลังก่อสร้างต่อไป
- คนพม่าไม่กินใบกะเพรา แต่จะกินเฉพาะใบแมงลัก ใบกะเพรานั้นพม่าถือเป็นอาหารสำหรับวัวเท่านั้น
- นักท่องเที่ยวที่มาเยือนพม่าส่วนใหญ่เดินทางโดยเครื่องบิน ลงที่สนามบินเม็งกะลาดง (Mingaladon Airport) ในย่างกุ้ง ซึ่งอยู่ห่างจากย่านธุรกิจประมาณ 19 กิโลเมตร

เที่ยวบินต่างประเทศที่มีจำนวนมากที่สุดคือเที่ยวบินระหว่างย่างกุ้ง-กรุงเทพฯ สายการบินของพม่า ได้แก่ เมียนมาร์แอร์เวยส์ (Myanmar Airways) นักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ยุโรป  ส่วนใหญ่นิยมเดินทางเข้าพม่าโดยผ่านกรุงเทพฯ จะสะดวกที่สุด

 ข้อแนะนำพิเศษ: ทางการพม่าได้กำหนดไว้ว่าห้ามชาวต่างชาติเดินทางไปยังบางเมืองหรือบางพื้นที่ หากนักท่องเที่ยวประสงค์ที่จะเดินทางไปเมืองที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวของพม่า ควรเช็คข้อมูลให้ดีก่อน
 - ภายในกรุงย่างกุ้ง มีทั้งรถประจำทางและรถแท็กซี่ไว้คอยบริการ อย่างไรก็ตามคนขับรถแท็กซี่ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ และราคาจะขึ้นอยู่กับการต่อรองกับคนขับรถเนื่องจากรถแท็กซี่ไม่มีมิเตอร์
 - ดอกไม้ประจำประเทศพม่า คือ ดอกประดู่
 - ความเป็นอยู่ในพม่า มีความสะดวกเฉพาะอยู่ในกรุงย่างกุ้งและเมืองใหญ่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้นในกรุงย่างกุ้งมีโรงแรมชั้นดีได้มาตรฐานหลายแห่ง สำหรับผู้ที่จะไปอยู่เพื่อทำงานหรือประกอบธุรกิจมีที่พักให้เลือกทั้งบ้านเช่า หรือ Serviced apartment การอยู่อพาร์ทเมนท์มีข้อดีในแง่ที่ผู้เช่าไม่ต้องกังวลปัญหาไฟฟ้าและน้ำประปา แต่ค่าเช่าค่อนข้างสูง ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคในกรุงย่างกุ้งหาซื้อได้ทั่วไป โดยมีสินค้าที่นำเข้าจากไทยหลายอย่างและในกรุงย่างกุ้งมีร้านอาหารไทยหลายร้าน 

แหล่งท่องเที่ยวในพม่า

สหภาพพม่า(Union of Myanmar)เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีลักษณะพิเศษคือ เป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีพรมแดนทางแผ่นดินติดต่อกับสองประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลก ได้แก่ จีน และอินเดีย แต่เดิมชาวตะวันตกเรียกประเทศนี้ว่า Burma จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2532 พม่าได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น Myanmar ชื่อใหม่นี้เป็นที่ยอมรับจากองค์การสหประชาชาติ แต่บางชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ไม่ยอมรับการเปลี่ยนชื่อนี้ เนื่องจากไม่ยอมรับรัฐบาลทหารที่เป็นผู้เปลี่ยนชื่อ ปัจจุบันหลายคนใช้คำว่า Myanmarซึ่งมาจากชื่อประเทศในภาษาพม่าว่าMyanma Naingngandawไม่ว่าจะมีความเห็นเกี่ยวกับรัฐบาลทหารอย่างไรก็ตามคำว่าเมียนมาร์เป็นการทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษว่า Myanmar แต่ความจริงแล้ว ชาวพม่าเรียกชื่อประเทศตนเองว่า มยะหม่า

วัฒนธรรรมและประชากร

ของพม่าได้รับอิทธิพลทั้งจากจีน อินเดีย และไทยมาช้านาน ดังสะท้อนให้เห็นในด้านภาษา ดนตรี และอาหาร สำหรับศิลปะของพม่านั้นได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีและพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ในปัจจุบันนี้วัฒนธรรมพม่ายังได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดจากเขตชนบทของประเทศ ด้านการแต่งกาย ชาวพม่าทั้งหญิงและชายนิยมนุ่งโสร่ง เรียกว่า ลองยี ส่วนการแต่งกายแบบโบราณเรียกว่า ลุนตยาอชิกจำนวนประชากรประมาณ 50.51 ล้านคน ความหนาแน่นโดยเฉลี่ย 61 คน/ตารางกิโลเมตร พม่ามีประชากรหลายเชื้อชาติ จึงเกิดเป็นปัญหาชนกลุ่มน้อย มีชาติพันธุ์พม่า 63% ไทยใหญ่ 16% มอญ 5% ยะไข่ 5% กะเหรี่ยง 3.5% คะฉิ่น 3% ไทย 3% ชิน 1%

สภาพภูมิอากาศ

ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุดคือ
ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ
21-28 องศาเซลเซียส
นอกจากภาษาพม่า ซึ่งเป็นภาษาราชการแล้ว พม่ามีภาษาหลักที่ใช้งานในประเทศถึงอีก 18 ภาษา[2] โดยแบ่งตามตระกูลภาษาได้ดังนี้ตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติก ได้แก่ ภาษามอญ ภาษาปะหล่อง ภาษาปะลัง (ปลัง) ภาษาปะรวก และภาษาว้า
ตระกูลภาษาซิโน-ทิเบตัน ได้แก่ ภาษาพม่า (ภาษาราชการ) ภาษากะเหรี่ยง ภาษาอารากัน (ยะไข่) ภาษาจิงผ่อ (กะฉิ่น) และ ภาษาอาข่า ตระกูลภาษาไท-กะได ได้แก่ ภาษาไทใหญ่ (ฉาน) ภาษาไทลื้อ ภาษาไทขึน ภาษาไทคำตี่ มีผู้พูดหนาแน่นในรัฐฉาน และรัฐกะฉิ่น ส่วนภาษาไทยถิ่นใต้ ภาษาไทยกลาง และภาษาไทยถิ่นอีสาน มีผู้พูดในเขตตะนาวศรี
ตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน ได้แก่ ภาษาม้งและภาษาเย้า (เมี่ยน)
ตระกูลภาษาออสโตรนีเชียน ได้แก่ ภาษามอเกนและภาษามาเลย์ ในเขตตะนาวศรี

พม่ามีสกุลเงินอย่างเป็นทางการคือ เงินจ๊าด แต่บางครั้งมีการใช้เงิน FEC (Foreign Exchange Certificate) ที่เรียกกันว่า
เงินผูกขาดหรือเงินนักท่องเที่ยว มีค่าเทียบเท่ากับดอลล่าร์สหรัฐ 1 ดอลล่าร์สหรัฐสามารถแลกได้ประมาณ 6 จ๊าด

 
  
ย่างกุ้งประเทศพม่า
ย่างกุ้ง (Yangon) 
ที่ประดิษฐานเจดีย์ทองงามสง่า "ชเวดากอง" ภาพสะท้อนยุคอาณานิคมอังกฤษ



หงสาวดี(Bago)
เมืองเอกอู่ข้าวอู่น้ำพม่า อดีตเมืองท่าทางทะเล ภาพสะท้อนความรุ่งเรืองของอาณาจักรมอญ



 
  
ไจ้โถ่ประเทศพม่า

ไจ้โถ่(Kyaikhtiyo) 
ถิ่นชาวมอญ ก้อนหินทองงามสง่า



 



 
  
พุกามประเทศพม่า
พุกาม(Bagan)
ดินแดนหมื่นเจดีย์


 
  
มัณฑะเลย์ประเทศพม่า

มัณฑะเลย์(Mandalay)
ราชธานีสุดท้าย ศูนย์กลางพระพุทธศาสนา ถิ่นมหาคัมภีร์ไตรปิฏก ตำนานพระยะไข่



 
กะลอ-รัฐฉานประเทศพม่า

กะลอ(Kalaw)
สวิตเซอร์แลนด์แห่งพม่า



อ้างอิง: วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี, หน้าต่างสู่โลกกว้าง(พม่า) ทัวร์พม่า เที่ยวพม่า ประเทศพม่า